Home Page
samgler connection members information discuss library misc. web board contact us

แนะนำตัวละครในสามเกลอ




ที่มา: หนังสือ "ถนนหนังสือ" ปีที่ 3 ฉบับที่ 12 มิถุนายน 2529
โดย: เริงไชย พุทธาโร
  ได้รับอนุญาตให้ตีพิมพ์บน Internet เพื่อการศึกษา
พิมพ์โดย: คุณประดิษฐ์

ราวกลางปี 2481 ป.อินทรปาลิต ได้เขียนนวนิยายตลกเบาสมองเรื่อง อายผู้หญิง ขึ้น กล่าวถึงลูกชายจอมกระล่อนของผู้ดีมีสตางค์สองคน (สังเกตว่ายังไม่มีกิมหงวน) คือ พล พัชราภรณ์ บุตรของ เจ้าคุณประสิทธิ์นิติศาสตร์ กับคุณหญิงช้อย (ภายหลัง ป.อินทรปาลิต ได้เปลี่ยนชื่อเป็นคุณหญิงวาด) และนิกร การุณวงศ์ ลูกชายคนเล็ก ของเจ้าคุณวิจิตรบรรณาการ ต่อหน้าบิดามารดาหนุ่มรักสนุกทั้งสอง ทำตัวสงบเสงี่ยมและขี้อายอย่างที่สุด แต่เบื้องหลังนั้นเป็นเสือร้ายจอมกะล่อน แอบหนีไปเที่ยวสำมะเลเทเมาอยู่ตามคลับตามบาร์ เป็นประจำทุกค่ำคืน โดยที่ไม่มีผู้ใดในครอบครัวได้ล่วงรู้ นอกจากเจ้าแห้วคนรับใช้ประจำบ้าน พัชราภรณ์ เท่านั้น

ป.อินทรปาลิต แนะนำตัวละครเอกเรื่อง อายผู้หญิง ทั้งสองคนไว้ดังนี้

"ชายหนุ่มท่าทางสวยเก๋ ในเครื่องแบบสากลคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง เขาคือ พล พัชราภรณ์ ผู้ที่สงบเสงี่ยมราวกับผ้าพับไว้ อนิจจา เจ้าแห้ว คนใช้สนิทของเขาคนเดียวเท่านั้น ที่รู้ความจริงว่านายพัชราภรณ์ คือ "เสือ!" และเป็นเสือชนิดลายพาดกลอน เจ้าแห้วกำความลับของพลไว้ด้วยอำนาจของเงิน เจ้าแห้วไม่เคยปริปากให้ใครรู้ว่า งานสำคัญของตนนั้นคือคอยปิดเปิดประตูรั้วหลังบ้าน และประตูหลังตึกรับพลแทบทุกคืน นายพัชราภรณ์ปราดเปรียวในวงการสมาคมอย่างที่สุด เป็น พล พัชราภรณ์ เมื่ออยู่ในบ้าน หรือที่ห้าง "พัชราภรณ์" ซึ่งเขาเป็นผู้จัดการ สงบเสงี่ยมยิ่งกว่าผู้หญิง วงศาคณาญาติออกปากไปตามๆ กัน แต่ถ้าพ้นบ้านหรือไกลหูไกลตาญาติพี่น้องแล้ว พลได้ขนานนามตนเองว่า กำแหง เพื่อนคู่หูของเขาคือนิกร การุณวงศ์ หรือในนามแฝงว่า ประชา มีหน้ากากสวมสองหน้าเช่นเดียวกับพลเหมือนกัน ตามวงการสมาคมรู้จักกันแต่เพียงว่า กำแหงกับประชาเป็นชายหนุ่มที่มีฐานะมั่งคั่ง และมักจะได้ปิดบังเรื่องความเป็นอยู่ของเขา ทั้งสองเมื่อคู่กันแล้วก็ทะโมนไพรเราดีๆ นี่เอง

เจ้าคุณและคุณหญิงประสิทธิ์ฯ ตลอดจนญาติพี่น้องของพลต่างเข้าใจผิดมานานแล้ว คิดว่าพลสงบเสงี่ยมขี้อายนุ่มนิ่มเหมือนผู้หญิง เที่ยวเตร่ไม่เป็น ส่วนนิกรก็เช่นเดียวกัน นิกรเป็นลูกชายคนเล็กของเจ้าคุณวิจิตรบรรณาการ พี่ชายของคุณหญิงประสิทธิ์ฯ นั่นเอง นิกรจึงเป็นทั้งเพื่อนและญาติของพล นับตามลำดับญาติก็เป็นพี่"

คุณฤทัย อินทรปาลิต พูดถึงนวนิยายตลกเบาสมองเรื่อง อายผู้หญิงว่า "พ่อตั้งใจจะเขียนเพียงเล่มเดียว ท่านเป็นคนมีอารมณ์ขัน เขียนสนุกๆ ไม่ได้ตั้งใจจะให้ยืดเยื้อถึงขนาดนั้น แต่พอพิมพ์ออกมาแล้วปรากฏว่าคนอ่านติดใจ"

เมื่อ อายผู้หญิง ได้รับความนิยมเกรียวกราวอย่างถึงขนาด ป.อินทรปาลิต จึงบันดาลให้พล พัชราภรณ์กับ นิกร การุณวงศ์ ออกมาวาดลวดลายจี้เส้นผู้คนบนถนนหนังสือต่อด้วยเรื่อง หนุ่มรักสนุก ครั้นความลับในเรื่องการเที่ยวเตร่เฮฮาของสองเกลอจอมกะล่อน ถูกเปิดโปงออกมาแล้ว ทางบ้านก็ได้ติเตียนและเข้มงวดกวดขันความประพฤติหนักขึ้น หนุ่มรักสนุกทั้งสองจึงแกล้งหนีออกจากบ้าน ไปเช่าที่อยู่กันตามลำพัง

หวงลูกสาว เป็นเรื่องที่สามในหัสนิยายชุดนี้ ในขณะที่พล พัชราภรณ์ กำลังมีความรักกับนันทาพี่สาวของนิกร การุณวงศ์อยู่นั้น นิกรก็ต้องอกหักเป็นคำรบสอง เพราะผู้หญิงที่ตนหมายปองมีคู่หมั้นอยู่แล้ว พิษแห่งความรักทำให้สองเกลอต้องไปดื่มเหล้าเดวิดสันที่ แฮ็ปปี้ฮอลล์ กันอย่างหามรุ่งหามค่ำ ณ แฮ็ปปี้ฮอลล์นี่เองที่ ป.อินทรปาลิต ได้นำตัวละครเอกในชุดสามเกลออีกคนหนึ่ง มาพบกับผู้อ่าน

"พอย้าสแบนด์เริ่มต้นบรรเลงเพลงใหม่ สงวนก็ลุกเดินมาทางโต๊ะพล ด้วยลักษณะการเดินทำหลังค่อมเล็กน้อย เอาศีรษะไปก่อน ปากคาบกล้องยาเส้น มือทั้งสองเท้าสะเอว ท่าทางเช่นนี้แหละคือบุคลิกลักษณะมนุษย์ที่เย่อหยิ่งจองหองทั้งหลาย"

บุคลิกของ สงวน ไทยเทียม ภายหลังได้แสดงออกถึงความทะเล้นทะลึ่งตึงตังอย่างเต็มที่ ชื่อนามสกุลก็ถูกเปลี่ยนไปเป็น กิมหงวน ไทยแท้ และเลิกคาบกล้องยาเส้นหันมาสูบบุหรี่ธรรมดา ในเรื่อง หวงลูกสาว ป.อินทรปาลิต ให้อาเสี่ยกิมหงวนบุตรชายของเจ้าสัวกิมเบ๊ ฉีกธนบัตรทิ้งเล่นโก้ๆ ในแฮ็ปปี้ฮอลล์ พอหอมปากหอมคอ แล้วจึงเปิดตัวละครสำคัญอีกหลายคนออกมาให้ผู้อ่านรู้จัก

"สุภาพบุรุษสูงอายุคนหนึ่งนุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงินสวมเสื้อนอกแพรฝรั่งเศส ลักษณะท่าทางบอกว่าเป็นขุนนางวางน้ำยา สวมแว่นตาคนแก่ ศีรษะหาผมทำยายาก ยืนมองดูชายหนุ่มด้วยสายตาขุ่นๆ

ท่านผู้นี้คือนายพลโทพระยาปัจจนึกพินาศ นายทหารนอกราชการสังกัดกระทรวงกลาโหม เราถือโอกาสนี้แนะนำท่านผู้อ่านทั้งหลาย ให้รู้จักท่านเจ้าคุณผู้แพ้ผมไว้ด้วย

ท่านเจ้าคุณเป็นคหบดีผู้มั่งคั่งในย่านถนนรองเมือง ท่านมีทรัพย์มากมายก่ายกอง อันสืบเนื่องมาแต่ครั้งบรรพบุรุษของท่าน ซึ่งใช้ในชั่วอายุลูกหลานก็ไม่หมด เดี๋ยวนี้เจ้าคุณปัจจนึกฯ ไม่ได้ทำงานอะไรหารายได้เพิ่มเติม เพียงแต่เงินบำนาญของท่านเดือนละ 800 บาท ก็พอใช้แล้ว

บรรดาผู้ที่รู้จักและคุ้นเคยกับท่าน ต่างรู้ดีว่า เจ้าคุณปัจจนึกฯ มีธิดาสุดสวาทอยู่ 2 คน ชาวบ้านแถวถนนรองเมืองให้สมญาว่า "พระนางพี่พระนางน้อง" หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่แหละ

ประภากับประไพ ศิริสวัสดิ์ คือดวงใจนัยน์ตาของท่านเจ้าคุณ ประภาผู้พี่สาวอายุ 21 ปีนี้ ส่วนประไพอ่อนกว่า 1 ปี ทั้งสองเกิดมาเพื่อทำความคลั่งไคล้ใหลหลงให้กับผู้ชาย สวยสะอาดบาดใจไม่มีใครเปรียบเหมือน งามราวกับเทพธิดาที่จุติลงมาจากฟากฟ้า"

สามเกลอพล นิกร กิมหงวน สร้างความหฤหรรษ์ให้กับผู้อ่านทั่วประเทศต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยเรื่องราวอันแสนสนุกสนานสารพัดสารพัน จนกระทั่งต้นปีพ.ศ. 2482 สามเกลอจึงได้พบกับเพื่อนคนใหม่ เป็นนายแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษามาจากประเทศอังกฤษในหัสนิยายเรื่อง อ้ายดำปลอด(เดชผีดิบ)

"คนอื่นที่กิมหงวนพูดถึงก็คือ ด็อกเตอร์ดิเรก ณรงค์ฤทธิ์ แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด เขานั่งมองนายลิงทั้งสามด้วยความไม่พอใจ ดิเรก ณรงค์ฤทธิ์ เป็นชายรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้ารูปไข่ แก้มตอบเล็กน้อยมีเคราขึ้นเขียว ท่าทางคล้ายกับพระเอกหนังคนหนึ่ง แต่งตัวสมาร์ท นุ่งกางเกงสักหลาดอ่อนสีเทา สวมเชิ้ตแขนยาว ผูกเน็คไทหูกระต่าย ปากคาบกล้องดันฮิล พ่นควันโขมง"

เจ้าคุณปัจจนึกฯ กล่าวถึงดร. ดิเรก ในตอนหนึ่งของเรื่อง หมัดเด็ด ตีพิมพ์ประมาณพ.ศ. 2483-2484 ว่า

"อ๋อ-ไม่ใช่แต่หัวนอกหรอกครับ ทั้งตัวเลยคุณ ไปอยู่อังกฤษตั้งหลายปีกลับมาเกือบจะลืมสัญชาติเลย แลเห็นฝรั่งเป็นพ่อ อะไรๆ ในเมืองไทยสู้เมืองนอกไม่ได้ทั้งนั้น แต่ไม่รู้ว่ามันกลับมาทำไม"

ก่อนกลับเมืองไทย ดร. ดิเรก ณรงค์ฤทธิ์ ได้แวะที่ประเทศอินเดียอยู่ระยะเวลาหนึ่ง จึงทำให้ดิเรกมักจะพูดยกย่องถึงคุณงามความวิเศษของประเทศอินเดียอยู่เสมอ จนถูกพรรคพวกขัดคอบ่อยๆ ในเวลาที่ดร. ดิเรกเอ่ยถึง "ท่านมหาราชาองค์หนึ่ง..."

หลังจากเรื่อง อ้ายดำปลอด มนุษย์ผี และเขยใหม่แล้ว ดร.ดิเรก ณรงค์ฤทธิ์ บุตรชายคนเดียวของพระยานพรัตน์ไมตรีก็ได้มีบทบาทสำคัญร่วมกับคณะสามเกลอพล นิกร กิมหงวน และเจ้าคุณปัจจนึกฯ ในพฤติกรรมตอนต่างๆ สืบเนื่องกันมาเกือบสามสิบปีทีเดียว




All contents in this web site are intended for private use and educational purpose only. Our main objectives are to promote SamGler to cyberspace sufers and to memorize Por Intalapalit, one of the greatest writers in Thai fiction history.