Home Page
samgler connection members information discuss library misc. web board contact us

เฮฮากับสามเกลอ



J21: จากตอน "ซานุกข่าน"
ช่วยขบร่วมขันโดย: คุณ Pee_man (00334)
คำนำ: ซานุกข่านเป็นตอนที่คุณ ป. เขียนเรื่องไปเที่ยวที่อินเดียไว้ยาวที่สุดก็ว่าได้ครับ ที่ผมมีนี่จะเป็นฉบับที่พิมพ์รวมเล่มครั้งหลังของสำนักพิมพ์บันดาลสาส์น ปกโดย ฉลอง ธาราพรรค์ พิมพ์ พศ.2517 มีทั้งหมด 7 เล่มจบ คือ เรียงตามลำดับ ซานุกข่าน, ห้องมหาสมบัติ, สามเกลอหัวโล้น, มนุษย์หิมะ, นักกีฬาเอก, เผชิญองคุลิมาล และสู่ปิตุภูมิ จะมีพิมพ์มาใหม่สองตอนที่เคยเห็นคือ ห้องมหาสมบัติกับสามเกลอหัวโล้น น่าจะยังมีขายอยู่นะครับ ตอนที่นำมานี้คือส่วนหนึ่งของตอนนักกีฬาเอกนะครับ
เกริ่นเรื่อง: มหาราชาซานุกข่านซึ่งเป็นเพื่อนเก่าแก่ของดิเรก เกิดประชวร และมีจดหมายมาถึงดิเรกให้ไปช่วยรักษา คณะพรรคสี่สหาย เจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้ว จึงได้เดินทางไปอินเดีย หลังจากรักษาพระองค์แล้ว สี่หายได้เดินทางไปท่องเที่ยวในที่ต่าง ๆ ทั้งอินเดียกับเนปาล และมีเป้าหมายที่จะพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ ต่อจากคณะของ พ.ต.เอ็ดมัน ฮิลารี่ ระหว่างการเดินทางก็มีเรื่องราวสนุก ๆ ต่าง ๆ มากมาย นี่เป็นส่วนหนึ่งนะครับคือระหว่างเดินทางได้พบกับกองทหารพราน ที่หลบซ่อนตัวอยู่บนภูเขาเพื่อเป้าหมายในการกอบกู้อินเดียโดยไม่รู้เลยว่าอินเดียได้เอกราชแล้ว ซึ่งตอนแรกคิดว่าเป็นมนุษย์หิมะ


...............ท่านมหาราชาพยักพระพักตร์ ทรงโต้ตอบกับ พ.ต. สิงหราด้วยภาษาฮินดูเช่นเดียวกัน

"ถูกแล้ว สหายของฉันเหล่านี้เดินทางมาจากกรุงเทพ ฯ เพื่อทัศนาจรอินเดียและเนปาลและเป็นคนนำทางของเรา พวกเรากำลังจะขึ้นสู่ยอดเอเวอเรสต์"

พ.ต. สิงหรามองดูคณะพรรคสี่สหายด้วยสายตาที่เป็นมิตรเขาร้องบอกทหารในบังคับบัญชาของเขาให้เลิกโอบล้อม และให้แยกย้ายกันไปนั่งพักผ่อนตามโคนต้นไม้ พ.ต. สิงหรากล่าวกับคณะพรรคสี่สหายเป็นภาษาไทยแต่ไม่ชัดเหมือนแขกพูดไทย

"เฮ้ - อีนี้ดีใจมั่กม้ากนะนายจ๋า นาน ๆ ได้พบคนไทยทีหนึ่ง อีนี้จั๋นเมืองไทยเคยไปน่ะ ตอนเป็นหนุ่มพ่อจั๋นพาจั๋นไปหาอาที่กรุงเทพ ฯ คะร๊าบ อาจั๋นผ้าสีสวย ๆ ขายที่พาหุรัดครับ"

คณะพรรคสี่สหายและเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ต่างยิ้มแป้นไปตามกัน นิกรยกมือทั้งสองข้างขึ้นแตะหน้าผาก

"สลามน่ะบาบู บาบูเคยขายนมสดที่กรุงเทพ ฯ ใช่ไหม"

สิงหรานัยน์ตาเหลือก เขาพูดปฎิเสธเร็วปรื๋อ

"ไอ - นมสดขายทำมะไร๋ อีนี้จั๋นไม่เคยขายเลยคุณจ๋า จั๋นโงนมีไม่ต้องขายนมโสด"

พลกล่าวถาม พ.ต. สิงหราอย่างเป็นงานเป็นการ

"ฉันสงสัยว่าบาบูกับทหารเหล่านี้ได้หลบหนีราชการขึ้นมาอยู่บนเขาหิมาลัย เป็นความจริงใช่ไหมบาบู"

"ไม่ใช่ความจริงน่ะ นายจ๋า แต่มันเป็นเรื่องจริงคะร๊าบ จั๋นพาทหารทั้งกองพันหลบหนีขึ้นมาอยู่บนเขานี่สิบกว่าปีแล้ว จั๋นเป็นนักกู้ชาติ จั๋นจะขับไล่อังกฤษให้ออกไปจากอินเดีย อินเดียต้องเป็นเอกราช อินเดียต้องเป็นของชาวอินเดีย จั๋นกับทหารของจั๋นล้วนแต่มีความรักชาติมั่กม๊ากน่ะ อีกไม่ช้าจั๋นจะนำทหารลงไปจากเขานี้และสู้รบกับทหารอังกฤษเพื่อกู้ชาติของจั๋น เข้าใจไม่เข้าใจ"

ทุกคนต่างมองดูหน้ากัน และกลืนน้ำลายติด ๆ กันหลายครั้ง อาเสี่ยกิมหงวนมองดูหน้าผู้บังคับกองพันทหารพรานอย่าง ขบขันแล้วหัวเราะงอหาย เขายกมือตบบ่า พ.ต. สิงหราแล้วพูดพลางหัวเราะพลาง

"บาบูเอ๋ยฟังเรื่องของบาบูแล้วฉันเศร้าใจเสียจริง ๆ"

บาบูทำตาโตเท่าไข่ห่าน

"เศร้าทำมะไร๋ เรื่องของความรักชาติไม่ใช่เรื่องเศร้านายจ๋าอินเดียต้องเป็นเอกราช" แล้วเขาก็ตะโกนสุดเสียง "อังกฤษโกโฮม ท่านมหาตมคานฑีที่รักของจั๋นจะต้องให้จั๋นจูบเท้าท่าน ถ้ากองทหารของจั๋นขับไล่อังกฤษออกไปได้ ฮ่ะ ฮ่ะ ท่านมหาตมคานฑีคงจะแก่มากแล้ว จั๋นจากท่านมานานแล้วนายจ๋า คิดถึงเต็มทน"

นิกรทำท่าอ่อนอกอ่อนใจมองดูหน้า พ.ต. สิงหราอย่างขบขัน แล้วเขาก็เลื่อนตัวเข้าไปชิดท่านผู้บังคับกองพันทหารพราน นายจอมทะเล้นกระซิบข้างหู พ.ต.สิงหราเบา ๆ

"ท่านม่องเท่งไปนานแล้วโว้ย"

"หา ? อะไรม่องเท่งคะร๊าบ"

"ก็ท่านมหาตมคานฑีของบาบูน่ะซี ท่านถูกคนร้ายยิงตายคาที่"

สิงหราตกตะลึง ใบหน้าของเขาซีดเผือด เขาค่อย ๆหันหน้ามาทางท่านมหาราชาซานุกข่านแล้วทูลถามเป็นภาษาฮินดูด้วยเสียงสั่นเครือ

"ฝ่าบาทกระหม่อม สุภาพบุรุษคนไทยร่างเล็กผู้นั้น กล่าวเท็จหรือเปล่าที่ว่า ท่านมหาตมคานฑีตายไปนานแล้ว"

ซานุกข่านทรงพระสลวลออกมาดัง ๆ

"อย่าสงสัยอะไรเลย สิงหรา ท่านมหาตมคานฑีที่รักของเรา ถูกคนร้ายยิงตายมานมนาน โธ่....เธอช่างไม่รู้อะไรเลย ท่าจะไม่เคยลงไปที่เชิงเขานับตั้งแต่เธอพาทหารขึ้นมาบนนี้"

ผู้บังคับกองพันทหารพรานร้องไห้โฮ ขี้มูกไหลยืดออกมาทางรูจมูกเปรอะเปื้อนหนวดเคราอันดกดำของเขา

"โอ - พระศิวะได้โปรดเถิดของให้วิญญาณของท่านมหาตมคานฑีของข้าจงไปสู่สวรรค์ กระหม่อมกับทหารไม่เคยลงไปจากเขาหิมาลัยเลย เพราะกำลังของเราไม่พอที่จะสู้กับทหารอังกฤษ อย่างไรก็ตามถึงแม้ท่านมหาตมคานฑีตายไปแล้ว กระหม่อมก็จะทำงานกู้ชาติต่อไปจนกว่าอินเดียจะได้เอกราช"

ซานุกข่านทรงพระสรวลอีก ยกพระหัตถ์ขวาตบบ่าผู้บังคับกองพันทหารพรานแล้วรับสั่งว่า

"อ้ายน้องชาย อินเดียของเราเป็นเอกราชแล้ว อังกฤษไปจากอินเดีย และให้อิสรภาพเราอย่างสมบูรณ์แล้ว ขณะนี้อินเดียและเนปาลได้ปกครองตัวเอง ตามระบอบประชาธิปไตย"

พ.ต. สิงหราอ้าปากหวอทำหน้าเหมือนสิงห์

"ฝ่าบาท" เขาตะโกนราวกับช้างร้อง "จริง ๆ หรือนี่ ฝ่าบาทล้อกระหม่อมให้ดีใจกระมัง"

ท่านมหาราชาผายพระหัตถ์มาทางคณะพรรคสี่สหาย

"ถามเพื่อนคนไทยของฉันดูสิ"

พ.ต. สิงหรา ซึ่งชื่อของเขาแปลว่าสิงห์โตตัวเมียได้หันหน้ามาทางคณะพรรคสี่สหาย เขายืนนิ่งเฉยกระพริบตาถี่เร็ว แล้วกล่าวถามท่านเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ด้วยเสียงหนัก ๆ ว่า

"นายจ๋า อีนี้อินเดียเป็นเอกราชแล้วใช่ไม่ใช่"

ท่านเจ้าคุณอมยิ้ม

"เป็นมาหลายปีแล้วบาบู อินดียเป็นของชาวอินเดียโดยเด็ดขาดไม่ใช่เอกราชจอมปลอม ที่กรุงเทพ ฯ มีสถานทูตอินเดียอยู่ที่ถนนพญาไท อินเดียกำลังก้าวหน้า"

เจ้าแห้วพูดเสริมขึ้นอย่างเจ็บใจ

"แต่ดอกเบี้ยเงินกู้ยังคงเป็นไปตามเดิมไม่มีการลดลาวาศอกร้อยละยี่สิบตามเคย"

ใบหน้าของ พ.ต. สิงหราชุ่มชื่นขึ้นผิดปกติ เลือดรักชาติซาบซ่านไปทั่วร่าง เขาหันไปดูทหารของเขาซึ่งนั่งพักผ่อนจับกลุ่มสนทนากันอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ สิงหราร้องตะโกนขึ้นด้วยความดีใจถึงขีดสุด

"พวกเราโว้ยฟังทางนี้ อินเดียเป็นเอกราชเต็มตัวแล้วโว้ย เตรียมตัวลงจากเขาหิมาลัยได้"

ครั้นแล้วร่างของผู้บังคับกองพันทหารพราน ก็อ่อนเปียกล้มฮวบลงบนพื้นดิน ท่ามกลางความตกตะลึงของคณะนักไต่เขาบรรดาศักดิ์ พวกทหารในบังคับบัญชาของเขาต่างรีบลุกขึ้นวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาห้อมล้อมวิพากษ์วิจารณ์กันแซ่ดไปหมดฟังดูคล้ายทะเลาะกัน เพราะเมื่อคนนึงพูดเสียงดังตามนิสัยแขก อีกคนหนึ่งก็พยายามตะเบ็งเสียงให้ดังขึ้น คนที่พูดทีหลังก็ตะโกนพูดจนแสบคอหอย

ท่านมหาราชารับสั่งกับนายแพทย์หนุ่มทันที

"ยืนเฉยอยู่ทำไมจ๊ะดิเรก ช่วยสิงหราหน่อยสิเธอ"

นายแพทย์หนุ่มยิ้มเล็กน้อยเขาเดินฝ่าพวกทหารเข้าไปและร้องบอกเป็นภาษาอังกฤษว่าเขาเป็นแพทย์ พวกทหารต่างหลีกให้โดยดี เสียงจ้อกแจ้กจอแจค่อย ๆ เงียบลง จนกระทั่งเงียบกริบ ทุกคนต่างจ้องมองดู ดร.ดิเรกและพ.ต. สิงหราแห่งกองพันทหารพราน นายแพทย์หนุ่มนั่งยอง ๆ ข้างท่านนายพันผู้มีเลือดรักประเทศชาติอย่างแรงกล้า เขาเอื้อมมือจับข้อมือข้างซ้ายของสิงหราบีบที่ชีพจรเพื่อตรวจดูชีพจรก่อน แล้วดิเรกก็ยกมือขวาขึ้น ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้เลิกหนังตาของสิงหราออก

ทันใดนั้นเอง สิบเอกเคราดกซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ดร. ดิเรกก็ร้องเอ็ดตะโรขึ้นอย่างเดือดดาล

"เฮ้ - อีนี่แหกตานายจั๋นทำมะไร๋น่ะ"

ดร. ดิเรก จุ๊ย์ปาก เงยหน้าขึ้นมองดูนายสิบผู้นั้นแล้วกล่าวว่า

"ฉันเป็นหมอ ฉันก็ต้องตรวจตามวิธีของนายแพทย์ทั้งหลาย ยืนเฉย ๆ เถอะหมู่อย่าสู่รู้ไปเลย"

แล้วนายแพทย์หนุ่มก็ล้วงมือลงไปในย่ามหยิบเครื่องฟังหัวใจออกมากคล้อง เอาปลายทั้งสองยัดเข้าไปในหู แล้วหยิบปลายอีกข้างหนึ่ง วางลงที่หน้าอกด้านซ้ายของสิงหรา ใบหน้าของ ดร. ดิเรก เคร่งเครียดทันที นายแพทย์หนุ่มนิ่งฟังอยู่สักครู่ก็ปลดเครื่องฟังหัวใจออกจากคอของเขาแล้วลุกขึ้นยืน ท่ามกลางทหารทั้งกองพัน ซึ่งอยู่ในความสงบเงียบ ดร. ดิเรกได้กล่าวขึ้นด้วยเสียงกังวาลเป็นภาษาอังกฤษว่า

"ข้าพเจ้ามีความเสียใจอย่างยิ่งที่จะแจ้งให้ท่านทราบว่า พันตรีสิงหราตายเสียแล้ว เนื่องจากหัวใจวายอย่างกระทันหันเพราะได้รับความดีใจเกินไป เมื่อทราบว่าอินเดียเป็นเอกราชแล้ว"

ทหารแขกต่างร้องไห้โฮไปตามกัน บ้างก็ตีอกชกตัว พลทหารคนหนึ่งร้องไห้เสียงดังกว่าเพื่อน เขาโซซัดโซเซเข้ามาหาเสี่ยหงวนแล้วกอดอาเสี่ยแน่น เขารำพันเป็นภาษาไทยแปร่ง ๆ เช่นเดียวกับแขกพูดไทย

"โอ - นายจ๋า อีนี้สิงหราตายแล้วคะร๊าบ ฮือ.....ฮือ จั๋นจะฆ่าตัวตายตามเขาไปเมืองผีดีไหมคะร๊าบ"

เสี่ยหงวนหัวเราะ หึ ๆ

"ตามไปทำไมวะบาบู"

พลทหารในวัยกลางคนคลายมือที่กอดอาเสี่ยออก

"ตามไปท้วงโงนคะร๊าบ อีนี้สิงหรากู้โงนจั๋นไปสามพันรูปีนายจ๋า กู้ตั้งแต่จั๋นยังหนุ่มจนป่านนี้ ดอกไม่ส่งต้นไม่ใช้คะร๊าบ บอกจั๋นว่าถ้าอินเดียเป็นเอกราชเมื่อไร เขาจะใช้ให้จั๋นหมื่นรูปีเพราะเขาจะได้เป็นนายพลมีทางกอบโกยมั๋กม๊าก โอ - อีนี้ตายแล้วจั๋นจะไปเอาที่ไหน สามพันรูปีสูญไปแล้ว โอย....จั๋นตายดีกว่า นรกไปทางไหนนายจ๋าช่วยบอกหน่อย"

เสี่ยหงวนสั่นศีรษะ

"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันบาบู เกิดมาไม่เคยไปนรกเลย แต่คิดว่าถ้าตายเมื่อไรก็มีหวังได้ไปเที่ยวนรกแน่ ๆ"

พล พัชราภรณ์ เดินเข้าไปหานายร้อยร่างสูงใหญ่ในวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งยืนร้องไห้อยู่ข้างก้อนหิน พลได้กล่าวกับนายทหารผู้นั้นเป็นภาษาอังกฤษว่า

"ไม่เพียงแต่พวกท่านหรอกที่เสียใจ พวกเราก็เสียใจเช่นเดียวกัน ขอให้ท่านกับพวกนายทหารช่วยกันเผาศพผู้บังคับกองพันของท่านเสียที่นี่เถอะ แล้วก็รีบพาทหารลงไปจากเขาหิมาลัยเสีย ทุกคนจะได้กลับไปหาลูกเมียของเขา"

ร้อยตรีทหารพรานพยักหน้ารับทราบ

"ขอบคุณท่านมาก ฉันกับเพื่อนนายทหารจะจัดการเผาศพผู้บังคับกองพันก่อนค่ำวันนี้ตามพิธีเผาศพฮินดูเท่าที่เราจะทำได้"

ในชั่วโมงเดียวกันนั้นเอง พวกทหารก็ช่วยกันเผาศพ พ.ต. สิงหรา ในบริเวณที่ราบนั้น ทหารทุกคนและคณะพรรคสี่สหายต่างช่วยกันหาฟืนหรือกิ่งไม้แห้งมากองสุมกัน แล้วเอาศพของผู้บังคับกองพันวางลงบนกองฟืนนั้นศพของ พ.ต. สิงหราถูกห่อด้วยผ้าขาวเก่า ๆ ซึ่งนิกรกับนายสิบทหารแขกคนหนึ่งช่วยกันทำหน้าที่สัปเหร่อ นิกรจัดการตราสังข์เรียบร้อย บรรดานักไต่เขาบรรดาศักดิ์ต่างให้ความช่วยเหลืออย่างแข็งแรง ท่านมหาราชาซานุกข่านเป็นผู้จุดกองฟืนและและกิ่งไม้เหล่านั้น เมื่อไฟไหม้ลุกลามไปที่ศพพวกทหารทั้งกองพันก็ร้องไห้ฟูมฟายไปตามกัน บางคนทำท่าจะกระโดดเข้ากองเพลิงตายตามผู้บังคับกองพัน พวกทหารช่วยกันยื้อยุดฉุดแขนไว้และห้ามปราม เจ้าหมอนั่นเอะอะอาละวาดพยายามดิ้นจนเพื่อนทหารชักฉิวเลยปล่อยมือออก แต่ทหารคนนั้นกลับยืนนิ่งเฉยไม่ยอมวิ่งเข้ากองไฟ หลังจากศพของ พ.ต. สิงหรากลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว คณะพรรคสี่สหายนักไต่เขาบรรดาศักดิ์ก็ออกเดินทางขึ้นเขาหิมาลัยต่อไป ส่วนกองทหารพรานจะเดินทางกลับพรุ่งนี้เช้า ก่อนจะจากกันนายทหารคนหนึ่งได้ยืนยันกับนักไต่ภูเขาว่า มนุษย์หิมะหรือลิงยักษ์ที่พูดภาษาคนนั้นไม่มีบนเขาหิมาลัยอย่างแน่นอน เรื่องที่เล่าลือกันนั้นเป็นเรื่องโกหกยกเมฆทั้งสิ้น............




All contents in this web site are intended for private use and educational purpose only. Our main objectives are to promote SamGler to cyberspace surfers and to memorize Por Intalapalit, one of the greatest writers in Thai fiction history.