Home Page
samgler connection members information discuss library misc. web board contact us

เฮฮากับสามเกลอ



J20: "ทุ่งเปลี่ยวทางเปรอะ" สำนักพิมพ์ บันดาลสาส์น ที่ผมมีเป็นรุ่นพิมพ์ครั้งหลังนะครับ เลยไม่ทราบ พศ.
ช่วยขบร่วมขันโดย: คุณ Pee_man (00334)
เกริ่นเรื่อง: ตอนนี้เป็นตอนที่สนุกดีเหมือนกันครับ คุณป. เขียนเกี่ยวกับเรื่องนักเลงลูกทุ่ง ทำให้เห็นภาพเลยว่าแต่ก่อนเนี่ยเป็นยังไง ขนาดแค่อยู่แถวรังสิต นี่ก็มีแต่ทุ่งนาทั้งนั้นเลยนะครับสมัยก่อน แล้วสำนวนแต่ละคำฟังแล้วขนลุกอดขำไม่ได้ เรื่องย่อก็ไม่มีอะไรมากครับคือคณะสี่สหายมาเที่ยวสวนซึ่งมีคนของพวกเขาดูแลอยู่ แต่ก็เกิดเรื่องคือจะมีคนมาฉุดลูกสาวคนดูแล สามเกลอก็ไม่ยอมสิครับช่วยเต็มที่ ก็มีการต่อสู้กันอย่างเลือดสาด หึๆๆ ตามประสาสามเกลอของเราแหละครับแต่ตอนจบก็มีความสุขครับ ตาพ่อแกก็ไม่ว่าอะไรตอนหลังเพราะเห็นว่าไอ้คนที่มาฉุดมีกะตัง

...........ลมตกทุ่งแล้วเมื่อใกล้ค่ำ แสงแดดอ่อนจางหายไปทุกที แต่เสียงสรวลเสเฮฮาของไอ้หนุ่มแปลกหน้าแห่งทุ่งรังสิตทั้ง ๔ คน ได้ดังขึ้นตามลำดับที่ข้างกองฟางริมลำประโดงนั้น มื้อนี้ ไอ้พล ไอ้หงวน ไอ้กร และไอ้ดิเรก มันล่อเหล้ากันจนหงำ ขวดเหล้าและจานกับแกล้มวางอยู่เกลื่อนกลาด ไอ้กรมันทำตาปรือมองไปรอบ ๆ ตัว แล้วมันก็กล่าวขึ้น

"กูนี่เขลามานานแล้ว ไอ้หงวนเอ๋ย ชีวิตในบางกอกมันให้ความสุขเพียงผิวเผินเท่านั้น รังสิตนี่สิวะสงบเงียบ ให้ความสุขกูอย่างแท้จริง ฮ่ะ ฮ่ะ หรือมึงจะฟันกับกูตัวต่อตัวยังได้"

ไอ้หงวนมันอดขำไม่ได้ เมื่อเห็นเพื่อนมันกินเหล้าจนเมามายอย่างที่เรียกว่า กินเผื่อหมา

"ไอ้กร มึงเมาก็กุมสติไว้บ้าง"

"อ้าว มึงหาว่ากูเมาแล้วรวนมึงอย่างงั้นเรอะ มา........ไอ้หงวน ลองสีมือดาบกับกูหน่อยเถอะ"

ไอ้หงวนมันสั่นศีรษะ และถอยหลังหนี เมื่อเห็นไอ้กรมันดึงดาบออกมา

"อย่าโว้ย ไอ้กร เราเพื่อนกันแท้ ๆ"

"เพื่อนเพิ่นอะไรโว้ย กำลังเมายังงี้พ่อกูกูยังไล่ฟันนี่หว่า"

"อือ มึงจะหนักข้อไปละ ไอ้กร ลงไล่ฟันพ่อมึงก็ทรพีเท่านั้น"

ไอ้กรมันโบกมือพูดเสียงอ้อแอ้

"เฮ้ยย์ย์.........ทรพีทรพาไม่เข้าใจ หรือใครจะเอาเรื่องกะกู ไอ้เกลอเอ๋ย ทุ่งรังสิตนี้เอ่ยชื่อกูแล้วสั่นหัวไปตามกันอึ้ก...สั่นหัวเพราะไม่มีใครรู้จัก"

"ถุย !" ไอ้ดิเรกมันร้องขึ้นดัง ๆ "หมั่นไส้โว้ย หมั่นไส้ พอทีโว้ย อย่าดื่มให้มากนักเลยประเดี๋ยวเส้นโลหิตจะแตกตาย"

ไอ้กรหัวเราะ

"พูดให้มันถูกเรื่องหน่อยเถอะวะ เดี๋ยวนี้เราเป็นคนบ้านนอกแล้ว ก็ต้องพูดอย่างที่คนบ้านนอกเขาพูดกันอย่างไม้เมืองเดิมเขาแต่งน่ะ แกไม่เคยอ่านหรือ"

นายแพทย์หนุ่มอมยิ้ม

"ลำบากนักก็พูดกันอย่างที่เราเคยพูดกันดีกว่า ค่อยสะดวกหน่อย ไอ้ที่แกพูดน่ะ มันก็ไม่ใช่สำนวนของไม้เมืองเดิม"

"นั่นน่ะซี กันก็ว่ายังงั้นแหละ ดูมันพูดตะกุกตะกักเต็มทน"

เจ้าคุณปัจจนึก ฯ แต่งกายแบบชาวนา เดินนำหน้าพาเจ้าแห้วลงมาจากเรือนตรงเข้ามาหา ๔ สหาย ท่านเจ้าคุณถือหม้อแกงเผ็ดไก่ซึ่งยังร้อนอยู่ วันนี้ท่านแสดงฝีมือแกงไก่เอง ส่วนลุงพันเจ้าของบ้านนี้กับเอื้อนลูกสาวของแก ช่วยกันทำกับข้าว อื่น ๆ อีกหลายอย่าง ๔ สหาย จ่ายเงินลุงพันวันละ ๑๐๐ บาทเป็นค่าอาหาร ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนเงินที่มากมายพอดูอยู่

เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ประคองหม้อแกงไก่เดินเข้ามาหา ๔ สหายด้วยความระมัดระวัง แต่แล้วท่านก็สะดุดเท้าตนเองเสียหลักหัวคะมำหกล้มป้าบ

"โครม !"

หม้อแกงหลุดจากมือ แกงหกเรี่ยราด

"โอ๊ย" เจ้าแห้วร้องสุดเสียง "รับประทานขูดมะพร้าวตำน้ำพริกแทบแย่ ว้ารับประทานใต้เท้าเดินยังไงครับ"

ท่านเจ้าคุณค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งทำหน้าแหย มองดูแกงไก่ด้วยความเสียดาย

"ซวยจริงโว้ย กู"

นิกรพูดเสริมขึ้น

"พวกผมก็เลยพลอยซวยไปด้วย" แล้วนิกรก็เขยิบตัวเข้ามาเลือกหยิบชิ้นไก่เก็บใส่หม้อแกงทีละชิ้น ถือหม้อแกงมานั่งร่วมวงกับเพื่อนเกลอและพ่อตาของเขา

เจ้าคุณปัจจนึก ฯ บ่นกะปอดกะแปดเสียดายแกงไก่ จนกระทั่งพลรำคาญ

"ช่างมันถอะครับคุณอา กับข้าวของเรายังมีอีกหลายอย่าง คุณอาดื่มเสียหน่อยซีครับ"

คณะพรรค ๔ สหายดื่มเหล้า และสนทนากันต่อไป แล้วทุกคนก็แลเห็นชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งจำนวน ๕ คน ควบขับม้าวิ่งเหยาะ ๆ ตรงมาที่นี่

"นั่นพวกไหนโว้ย" มาดีหรือมาร้ายก็ไม่รู้"

นิกรว่า "ไม่ต้องกลัวมัน ถ้ามันมาดีเราก็ต้อนรับเขา"

"ถ้ามาร้ายล่ะ" ดร. ดิเรกถาม

"อ๋อ มาร้ายก้วิ่งหนีมันซีวะ เรื่องนักเลงละก้อ รับรองว่า กันรับมือกับมันเอง ๑๐ ต่อ ๑ ยังได้"

ดร. ดิเรกยกมือดีดหูนิกรดังแป๊ะ

"พอที อย่าคุยให้มากนัก ฝรั่งรำคาญ เข้าใจ๋" แล้วนายแพทย์หนุ่มก็หัวเราะหันมายิ้มกับพล "ไอ้กรนี่ยิ่งดู ๆ ไปก็ยิ่งเหมือนกับมหาดเล็กคนหนึ่งของท่านมหาราชาจันทรกุมารรามซิงก์"

นายพัชราภรณ์อมยิ้ม

"ท่านมหาราชาอุตส่าห์ตามมาจนถึงคลองรังสิตเชียวหรือนี่"

นายแพทย์หนุ่มค้อนควับยกแก้วน้ำสีเหลืองขึ้นดื่ม ม้าทั้ง ๕ ตัวใกล้เข้ามาตามลำดับ จนกระทั่งมองแลเห็นถนัด เจ้าหนุ่มร่างใหญ่ที่ขี่ม้านำหน้า มีท่าทางเป็นนักเลงเต็มตัว เขากับเพื่อนของเขาต่างมีดาบสะพายบ่าคนละเล่ม

นักเลงใหญ่แห่งตำบลไผ่ทิวหมู่บ้านกลางทุ่งที่แลเห็นลิบ ๆ เบื้องหน้าโน้น คือเจ้าลอย เจ้าหนุ่มปากหนวดคนนี้เอง เจ้าลอยพาสมุนร่วมใจก้าวลงมาจากหลังม้า ต่างผูกม้าของตนไว้ที่ต้นมะขามเทศและต้นแค แล้วมองดูคณะพรรค ๔ สหายอย่างแปลกใจ ด้วยไม่เคยเห็นหน้า

"กูเอะใจเสียแล้วละโว้ย ไอ้จ้อย" ลอยมันกระซิบกระซาบกับสมุนคนสนิทของมัน "ลุงพันหานักเลงต่างถิ่นมาคุ้มหัวกระมัง หรือจะให้ไอ้พวกนี้คอยรับมือกู"

นิกรร้องเอะอะ

"เฮ้ย.....ใครนินทากูโว้ย นักเลงไม่ต้องพูดกระซิบซีวะ ถุย ! ไอ้ลูกทุ่ง"

"อ้าว" ไอ้ลอยคราง "กูตั้งใจมาเยี่ยมลุงพันและอีเอื้อน ไม่ตั้งใจมาเอาเรื่องกะใครเลย อย่างนี้มันลูบคมกันนี่หว่า หรือยังไงไอ้ปั้น"

เจ้าปั้นพูดแบบนักเลง

"ฟันกันเอาเหงื่อสักพักเป็นยังไงพี่ลอย"

สมุนทั้งหมดต่างสนับสนุนเข้าปะทะกับคณะพรรค ๔ สหาย เจ้าลอยเดินปราดตรงมาที่กองฟางทันที ก่อนที่จะถึงตัว นิกรก็ลุกขึ้น กระชากดาบที่สะพายอยู่บนบ่าออกจากฝักดังปริ๊ด

เจ้าลอยหัวเราะ

"มันดุมากไปหรือ พี่ชาย แก่ฟันเสียจริงนะ"

นิกรยิ้มแห้ง ๆ

"นักเลงอย่างกัน ต้องเบ่ง นิดหน่อยตามธรรมเนียมแกไม่ต้องกลัว ถึงกันชักดาบออกมา กันก็ไม่กล้าฟันแกเพราะกลัวติดตะราง"

"อือ" ไอ้ลอยคราง มึงเป็นใครวะ ไอ้พี่ชาย"

"ก็แล้วใครเป็นมึงล่ะ" นิกรย้อนถาม

เจ้าลอยลืมตาโพลง โทสะของเขาเกิดขึ้นทันที นักเลงใหญ่แห่งไผ่ทิวกระชากดาบออกจากฝัก ยกดาบชี้หน้านายจอมทะเล้น "กำแหงมากไปแล้ว มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร"

"บ๊ะ แล้ว" นิกรอุทาน "ก็มึงไม่ใช่ลูกกูนี่หว่ากูจะไปตรัสรู้ว่ามึงเป็นใครหรือใครเป็นมึง"

เจ้าลอยหัวเราะก้าก

"พี่ชาย เสืออยู่ดี ๆ แกเอาไม้มาแหย่เสือ".....




All contents in this web site are intended for private use and educational purpose only. Our main objectives are to promote SamGler to cyberspace surfers and to memorize Por Intalapalit, one of the greatest writers in Thai fiction history.