Home Page
samgler connection members information discuss library misc. web board contact us

ส่วนที่หายไปของ "ผู้ดีตกยาก"




ผมได้รับการติดต่อจากคุณโอ๊ด (00400) ว่าสามเกลอชุดวัยหนุ่มตอน "ผู้ดีตกยาก" ที่พิมพ์โดยผดุงศึกษานั้น มีการเปลี่ยนแปลงตอนจบ โดยได้ตัดเนื้อหาออกไป 17 หน้า และเพิ่มเข้าไปใหม่อีก 2 หน้า ที่คุณโอ๊ดสามารถระบุได้เช่นนั้นก็เพราะ คุณโอ๊ดเป็นเจ้าของสามเกลอตอนนี้ ซึ่งพิมพ์ครั้งแรกโดย สนพ เพลินจิตต์ ซึ่งในครั้งนั้นได้ใช้ชื่อว่า "สามเกลอพเนจร"

เมื่อคุณโอ๊ดได้ทราบถึง web site แห่งนี้ จึงอยากจะให้นักอ่านสามเกลอทุกท่านได้ทราบถึงความจริงข้อนี้เอาไว้ และได้อ่านในส่วนที่ขาดหายไป จึงได้ส่งสำเนาของฉบับพิมพ์ครั้งแรกมาให้ผม ผมคิดว่า 10 กว่าหน้าที่คุณโอ๊ดส่งมาให้ผมนี้ มีคุณค่าอย่างมากมายมหาศาล ถ้าผมไม่ได้ทำ web site นี้ขึ้นมา คงจะไม่เฉลียวใจ และคงจะไม่ได้อ่านตอนที่ขาดหายไปอย่างแน่นอนที่สุด ก็ต้องขอขอบคุณคุณโอ๊ดแทนพวกเราทุกคนไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

สามเกลอตอน ผู้ดีตกยาก ที่ผมใช้อ้างอิงนี้ ราคาปก 10 บาทนะครับ (ต้องขอขอบคุณคุณบุ๊ค [00006] เป็นอย่างมาก ที่ให้ยืมมาเปรียบเทียบ) ผมคิดว่าราคาปก 7 บาท หรือ 15 บาทในปัจจุบันก็คงจะมีการจัดหน้า เหมือนกันนะครับ ทีนี้ให้เปิดไปที่หน้า 138 ซึ่งจะเริ่มต้นหน้าด้วย "ก้าวลงจากรถด้วยใบหน้าเคร่งขรึม....." ตรงนี้ยังเหมือนกันอยู่นะครับ จะเริ่มต่างกันตรงย่อหน้าที่ 4 เริ่มจากคำว่า "อุกอาจ" เป็นต้นไป ผมจะขีดเส้นใต้ส่วนที่เหมือนกับฉบับพิมพ์ครั้งแรกเอาไว้ ซึ่งถ้าอ่านเทียบกันจะพบว่าหลังจากคำว่าอุกอาจ เนื้อเรื่องก็จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนแต่งเพิ่ม และด้วยสาเหตุอะไร ก็อย่าไปคิดมากเลยนะครับ ผมเริ่มเลยดีกว่า



ก้าวลงจากรถด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เขาคือวิชิต เจ้าหนี้ของเจ้าคุณกำแหง ฯ นั่นเอง

เจ้าหนุ่มเดินลงส้นปัง ๆ เข้ามาในเรือนต้นไม้ ยกมือเท้าสะเอวมองดูท่านเจ้าคุณด้วยแววตาขุ่น ๆ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดว่าอะไร กิมหงวนก็เดินเข้ามายกมือตบบ่าเขา

"เฮ้ - ถอดหมวกเสียทีซีอ้ายเปรด อะไรคนไทยแท้ ๆ ไม่มีวัฒนธรรมเสียเลย นี่มันบ้านเขานะโว้ยไม่ใช่นอกถนน"

วิชิตโกรธจนหน้าแดงกล่ำ ยังไม่เคยมีใครอุกอาจกับเขาเช่นนี้ เขาจ้องมองดูกิมหงวนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

"อ้ายหมา มึงเป็นใคร?"

อาเสี่ยขมวดคิ้วย่น

"เถอะน่า ข้าจะเป็นพ่อมึง หรือมึงจะเป็นลูกข้า อย่าเพิ่งซักถามเลย ถอดหมวกออกเสียก่อนเถอะ แล้วค่อยพูดกัน"

วิชิตขบกรามแน่น

"กูไม่ถอด!" เขาตวาดแว๊ด

กิมหงวนทำปากยื่นถลกแขนเสื้อเชิ๊ตขึ้น

"มึง - มึงดูถูกท่านเจ้าของบ้าน และมึงไม่เคารพต่อสถานที่ ฉันขอบอกแกอย่างเด็ดขาด แก - ถอดหมวก!"

"ไม่ถอด มึงจะทำไมกู ?"

เสี่ยหงวนกะชากแว่นตาขอบกระส่งให้นิกร แล้วยกมือชี้หน้าวิชิต

"มึงจะต้องถอดหมวกเดี๋ยวนี้"

"ไม่ถอด"

"แน่นะ ฮึ่ม - ไม่ถอดแน่น่ะ?"

"เออซีวะ"

อาเสี่ยยิ้มแห้งๆ พูดเสียงอ่อยๆ

"ก็ตามใจมึงซิวะ" แล้วหันมาหัวเราะกับเพื่อนเกลอ "เฮะ - เข้าบ้านเขาไม่ถอดหมวกเฮะ"

วิชิตพูดขึ้นทันที

"มึงจะเป็นเจ้ากูเรอะ ทะลึ่ง โธ่ - อ้ายกุ๊ย แกกับฉันน่ะมันคนละชั้นโว้ย แกรู้ไหมว่านี่ - วิชิต กาญจนวิเชียร คหบดีผู้มั่งคั่งแห่งประเทศไทย"

กิมหงวนหัวเราะก้าก

"มีเงินในแบงก์ซักเท่าไหร่วะ?"

"แสนกว่าซีวะ"

อาเสี่ยสั่นศีร์ษะช้า ๆ

"โธ่ - อ้ายคางคกขึ้นวอ แสนเดียวเท่านั้นแค่นจะอวด กูนี่แน่เฮ้ยมีตั้งหลายล้าน ถุย - อ้ายหนวดแปรงสีฟันเอ๊ย"

วิชิตแค่นหัวเราะ

"หลายล้าน เม็ดมะขามน่ะซี ฮ่ะ - ฮ่ะ"

กิมหงวนยิ้มแห้ง ๆ

"เงินจริง ๆ วะ ให้ตายโหงตายห่าซีเอ้า" พูดจบก็แย่งกล้องในมือวิชิตมาใส่ปาก ดูดพ่นควันโขมง "อือ - กล้องแกดีนี่หว่า ให้ข้าเถอะวะ"

วิชิตโกรธจนตัวสั่น ยกฝ่ามือดันกล้องพลุ๊บเข้าไปในปากกิมหงวน ปลายกล้องแทงลิ้นไก่อาเสี่ยจนร้องอ๊อก รีบหยิบกล้องออกมาส่งให้วิชิตทันที

"เอ้า - ฉิบหาย, ลูกกะเดือกแทบหัก"

นายปากหนวดขว้างกล้องลงบนพื้น ยกเท้ากะทืบด้วยความหัวเสีย

"มึง! มึงดูถูกกู"

อาเสี่ยยิ้มแป้น

"ดูถูกยังไงหวา แกเอามือกะทุ้งปลายกล้องเข้าไปโดนลิ้นไก่ฉันหลุดฉันยังไม่ว่าอะไรสักคำ ขาก__" แล้วกิมหงวนก็อ้าปากคายวัตถุสีแดง ๆ ชิ้นเท่าเม็ดน้อยหน่าออกมาใส่มือ "นี่ - เห็นไหมลิ้นไก่กู"

วิชิตอ้าปากค้าง หน้าซีดเผือด ก้มมองดูลิ้นไก่ในมือกิมหงวน

"โอ๊ยโย่ !" เขาร้องเสียงสั่น

นิกรชักสงสัยเดินเข้ามาหยิบลิ้นไก่ในมือกิมหงวนขึ้นพิจารณาแล้วหัวเราะก้าก

"ปู้โธ่ - ท๊อฟฟี่แท้ ๆ" แล้วนิกรก็เอาใส่ปาก "อือ - หวานดีนิ"

อาเสี่ยยักคิ้วแผล็บ เอื้อมมือหยิบหมวกบนศีร์ษะวิชิตออกมา แล้วร่อนไปบนเก้าอี้

คราวนี้ นายปากหนวดอดกลั้นโทสะไม่ไหวแล้ว เขาปราดเข้าประชิดตัวกิมหงวน ลั่นหมัดขวาปังเข้าให้ถูกปากครึ่งจมูกครึ่ง กิมหงวนเซแซ่ด ๆ ไปปะทะราวลูกกรงเรือนต้นไม้ ตัวห้อยออกไปข้างนอก วิชิตกรากเข้าไปหมายจะซ้ำ

"พลั่ก!"

เสี่ยหงวนยกเท้ายันปังเข้าให้ ถูกหน้าอกวิชิตอย่างถนัดใจ คล๊ากเกเบิ้ลเซถลาล้มลงก้นกะแทกพื้น กิมหงวนรีบลุกขึ้นยืนหัวเราะลั่น ยกมือชี้หน้าวิชิต

"ไหมล่ะ, เสือกเข้ามาได้ มีอย่างรึ เป็นไงเพื่อน?"

วิชิตโมโหจนตาลาย พรวดพราดลุกขึ้นยืน พลเกรงว่าจะเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ก็เข้าขวางกลางแล้วพูดกับนายกาญจนวิเชียร

"ขอเสียทีเถอะครับคุณ เลิกกันเถอะครับ"

นายวิชิตตวาดแหว

"ขอยังไงกัน เพื่อนมึงมันดูถูกกู"

พลชักฉิว

"อ้าว - พูดกับผมให้สุภาพกว่านี้สักนิดเถอะครับ"

"ฮะ - มึงเป็นใคร มึงวิเศษมาจากไหน มึงรู้จักกูไหม?"

นายพัชรภรณ์หัวเราะ

"ผมจะเป็นใครก็ตาม เมื่อผมสุภาพกับคุณ คุณก็ควรจะสุภาพกับผมเช่นเดียวกัน"

วิชิตคว้าหน้าอกเสื้อพลเขย่า

"อ้ายสัตว์หมา!" เขาคำราม

พลใจเย็นต่อไปไม่ไหวแล้ว เขามองดูมือวิชิตที่จับหน้าอกเสื้อเขา แล้วอ้ายเสือรูปหล่อก็ตบแขนวิชิตออก ยกฝ่ามือผลักหน้านายคล๊ากเกเบิ้ลเซแซ่ด ๆ

วิชิตโมโหจนตาลาย เผ่นโผนโจนทะยานเข้าพันตูนายพัชราภรณ์ เจ้าคุณกำแหง ฯ ตกใจยืนตะลึง กรองทองร้องวี๊ดว้ายและเอาใจช่วยนายพัชราภรณ์

พลยกมือปิดป้อง หมัดของวิชิตไม่ระคายเคืองเขาเลย การชกอย่างเก้งก้างทำให้พลหัวเราะ รู้ดีว่านายปากหนวดไม่มีฝีมือในการต่อสู้ ฉะนั้นเขาจึงไม่ชกตอบ เพียงแต่ปิดไว้ นาน ๆ ก็ยกมือตีหัววิชิตเบาะ ๆ ครั้งหนึ่ง

นิกรกับกิมหงวนหัวเราะงอหาย ต่างช่วยกันกะเซ้าวิชิต

"เอา - หนักเข้าไป พี่ชาย, ระวังอ้ายพลเตะหนวดขาดนะโว้ย"

วิชิตขบกรามแน่น หลับหูหลับตาสะวิงขวาสุดแรงเกิด พลก้มศีร์ษะหลบ คล๊ากเกเบิ้ลเสียหลักเซแซ่ด ๆ ล้มลงตะครุบกบ หอบแฮ่ก ๆ เหนื่อยแทบตาย นิกรเดินเข้ามาช่วยประคองเขาให้ลุกขึ้น

"สู้เขาใหม่ วิชิต, ไม่ต้องกลัวมัน อั๊วเอาใจช่วย"

"ม่าย - วะ - หวาย - เหนื่อย"

กะดิ่งทองหัวเราะก้าก

"อะไร้ - ยังไม่ทันไร เหนื่อยเป็นหมาหอบแดดเชียว สู้มันอีกน่า เราก็สิบนิ้วเหมือนกันนี่หว่า"

วิชิตยืนโงนเงน ผมยุ่งนัยตาปรือ

"กัน - กันไม่ช่าย - นัก - มวย - นี่หว่า"

กิมหงวนปรี่เข้ามา ยกมือดีดหูคล๊กเกเบิ้ลดังแป๊ะ

"ชกกับอั้วไหมล่ะ?"

วิชิตทำปากยื่นนัยตาถลน แล้วเค้นหัวเราะ

"เฮ้ย - ฉันไม่ใช่เคาบอยเหมือนอย่างพวกแกหรอก การชกต่อยตีรันฟันแทงฉันไม่สู้ แต่ว่า, แกมาฉีกแบงก์แข่งกะข้าไหมล่ะ ฮ่ะ - ฮ้า - สตางค์ในกระเป๋าแกมีเท่าไหร่ ควักออกมา ฉีกกันทีละสิบบาท ใครหมดก่อนกะทืบกันสิบที เอาไหมล่ะ?"

กิมหงวนสะดุ้งทำปากจู๋

"เดี๋ยว ๆ ๆ ลื้อพูดใหม่ซิ ลื้อท้าอั้วฉีกแบงก์ใช่ไหม?"

"เออ" วิชิตพูดเสียงหนัก ๆ

อาเสี่ยหันไปมองดูเพื่อนเกลอของเขาแล้วหัวเราะก้าก

"โอย - ประเดี๋ยวพ่อหัวเราะเยี่ยวราดเลย ท้าใครไม่ท้ามาท้าเอาเราเข้า อนิจังสุขังสังฆังเอ๊ย นี่ - นี่พี่หนวด กันน่ะเวทนาแกเหลือเกิน ท้าพนันด้วยวิธีอื่นดีกว่าวะ อ้ายเรื่องฉีกแบงค์น่ะ ลื้อขืนสู้อั้วก็ฉิบหายแน่ ๆ"

วิชิตหัวเราะเสียงกร้าว ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบธนบัตรปึกหนึ่งออกมา เขาเลือกใบลง 20 ไว้ 1 ฉบับ นอกนั้นเอาใส่กะเป๋าตามเดิม นายปากหนวดชูธนบัตรให้กิมหงวนดู

"แกควรรู้จักฉันไว้ นายวิชิตเศรษฐีหนุ่มแห่งประเทศไทยซึ่งมีเงินในแบงค์นับแสน แกเห็นไหม นี่ธนบัตรใบละยี่สิบบาท ฉันจะฉีกให้แกดูเป็นขวัญตา และรับรองว่าตายแล้วเกิดใหม่แกก็คงจะไม่ได้เห็นอย่างนี้"

พูดแล้ววิชิตก็ฉีกธนบัตรออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยขว้างหน้ากิมหงวนแล้วหัวเราะชอบใจ

อาเสี่ยปล่อยก้ากทรุดตัวนั่งเอามือกุมท้อง หัวเราะจนน้ำตาไหล ทั้งขันทั้งสงสารวิชิตที่บังอาจมาสู้เขา

แล้วกิมหงวนก็ลุกขึ้นยืน ล้วงกะเป๋ากางเกงหยิบธนบัตรปึกใหญ่ร่วมสองหมื่นออกมา วิชิตเห็นเข้าก็ยืนจังงัง

"นี่ - อ้ายหนู เจ้าคุณท่านเป็นหนี้แกห้าพันบาทใช่ไหม เอาสัญญาเงินกู้ออกมา ฉันจะใช้ให้แกเดี๋ยวนี้"

นายปากหนวดหน้าสลด จ้องมองปึกธนบัตรไม่วางตา แล้วล้วงกะเป๋าบนหยิบสัญญากู้เงินออกมาส่งให้กิมหงวน อาเสี่ยส่งให้นายพัชราภรณ์อีกต่อหนึ่ง

"เฮ้ย ! เลขานุการ ตรวจดูซิ ถูกต้องไหม?"

พลอมยิ้ม คลี่กระดาษสัญญากู้เงินออกมาอ่านแล้วพูดกับอาเสี่ย

"ถูกแล้ว กระหม่อม"

ท่านชายกะเบนพะยักพระพักตร์

"อือ - ดีมาก เอ้า - วิชิต เอาเงินของแกไป แบมือออกมาซี อ้ายห่า, ต้องให้บอกด้วย เอ้า - หนึ่งพัน, สองพัน, สามพัน, สี่พัน, ห้าพัน ถูกต้องนะ"

วิชิตหน้าซีดเผือด เขาเข้าใจว่าอาเสี่ยเป็นเจ้า

"อ้า - ถูกแล้ว ฝ่าพระบาท, เป็นพระคุณยิ่งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องขอประทานโทษที่ได้ล่วงเกินฝ่าพระบาท"

กิมหงวนวางท่าให้สมเป็นเจ้า

"ฮะ - ขอโทษ ลื้อดูถูกอั๊วมาก ตะกี้นี้ลื้อฉีกแบ๊งก์ใบละยี่สิบ คราวนี้อั๊วจะแสดงให้ลื้อดูบ้าง"

"นี่ - ลื้อดูนี่ ใบละพันใหม่เอี่ยม ดู - หนึ่ง - สอง ซ้ำ - ไม่ฉีกโว้ย เก็บเข้ากระเป๋าดีกว่า เงินตั้งพันใครจะฉีก ถ้าแกอยากดูก็ส่งเงินของแกมาซี กันจะฉีกให้ดู"

วิชิตกลืนน้ำลายเอื๊อก นิกรเดินเข้ามาจับแขนคล๊ากเกเบิ้ล แล้วพูดยิ้มๆ

"นายจ๋า เดี๋ยวนี้นายก็หมดอำนาจวาสนาในบ้านนี้แล้วซีนะ เพราะฉะนั้น ถ้ารักตัวกลัวตาย ก็ขอให้แกรีบออกไปจาก บ้านณรงค์กุล โดยเร็วที่สุด แล้วก็ถ้านายขืนเข้ามาเหยียบบ้านนี้อีก พระบาทของฉันก็จะพาดพระโอษฐ์แก เข้าใจ๋?"

คล๊ากเกเบิ้ลเม้มริมฝีปากแน่น หันมาทางเจ้าคุณกำแหงฯ

"หมายความว่า ใต้เท้าตัดญาติขาดมิตรกับผมหรือครับนี่"

เจ้าคุณพะยักหน้าช้าๆ

"ถูกแล้ว วิชิต, ฉันตกเป็นเบี้ยล่างเธอมานานแล้ว เลิกคบกันที บ้านณรงค์กุล ไม่ปรารถนาจะต้อนรับเธออีก"

วิชิตฝืนหัวเราะ

"แล้ววันหนึ่ง ใต้เท้าจะต้องนึกถึงผม"

"จริง" อาเสี่ยสอดขึ้น "นึกอยากกะทืบแกน่ะซี" พูดจบก็ยกเท้าเหวี่ยงลูกแปถูกก้นนายคล๊ากเกเบิ้ลดังพั่บ "ปาย - ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้"

วิชิตขบกรามกรอดๆ เดินไปหยิบหมวกแล้วหมุนตัวกลับ พาร่างอันสะโอดสะองออกไปจากเรือนต้นไม้ สามเกลอกับท่านเจ้าคุณกำแหงฯ และกรองทอง ต่างหัวเราะชอบอกชอบใจไปตามกัน

เสียงรถยนตร์ถูกสะต๊าร์ท และเสียงเกียร์ดังโครกคราก ว๊อกซฮอลล์เก๋งแล่นออกไปจากบ้าน 'ณงค์กุล' อย่างรวดเร็ว เจ้าคุณกำแหงฯ มองดูสามเกลอดัวยความรัก

"หลานชาย ทุกข์ของฉันที่เปรียบเหมือนภูเขาวางทับอยู่บนอก ได้สูญสิ้นไปแล้วเพราะความช่วยเหลือของเธอ ฉะนั้น, เพื่อตอบแทนคุณงามความดีของเธอ ฉันขอให้เธอมาอยู่เสียบนตึก ในฐานะที่เป็นหลานของฉัน ห้องหับของเรามีว่างพอ ฉันกับติ๋วจะให้ความสุขแก่เธออย่างดีที่สุด เธอจะมีวิสกี้กินตลอดวัน อย่าอยู่บ้านนั่นเลยนะ มันไม่สมเกียรติหรอก"

พล นิกร กิมหงวนมองดูหน้ากันแล้วยิ้มแป้น

พลว่า "ขอบพระคุณขอรับ แต่เราได้จากบ้านมานานพอควรแล้ว ตั้งใจจะกลับไปบ้านพรุ่งนี้แหละครับ"

กรองทองใจหาย กล่าวถามพลทันที

โธ่ - ทำไมจะรีบไปล่ะคะ คุณไปดิฉันก็เหงาแย่"

อาเสี่ยพูดขึ้นดังๆ

"โอ๊ย - ไม่ได้หรอกครับ คุณติ๋ว คิดถึงเมียเต็มทนแล้ว อุ๊บ" แล้วอาเสี่ยก็สะดุ้ง ยกมือตบหน้าตัวเองดังเพี๊ยะ

เจ้าคุณทำตาปริบๆ มองดูกิมหงวน

"เอ - ฉันสงสัยเหลือเกิน ถามจริงๆ เถอะน่า พวกเธอน่ะเป็นโสดหรือมีเมียแล้ว?"

เสี่ยหงวนยิ้มอย่างแห้งแล้ง แกว่งแขนไปมา

"แฮ่ะ - แฮ่ะ ถามอ้ายกรดูเถอะครับ"

เจ้าคุณกำแหงฯ เปลี่ยนสายตามาที่นิกร

"ว่าไง - นิกร?"

กะดิ่งทองผิวปากเบาๆ ยกนิ้วชี้ขวาใส่ปากกัด

"ฮิ - ฮิ - ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าผมมีเมียหรือเปล่า ถ้าจะให้ดีถามอ้ายพลดีกว่าครับ มันค่อยรู้เรื่องหน่อย"

นายพัชราภรณ์หายใจไม่ทั่วท้องเลย เมื่อเจ้าคุณเปลี่ยนสายตามาที่เขา

"พล - เธอบอกอาตามตรงเถอะ จำได้ว่า เจ้าคุณปัจจนึก เคยบอกฉันว่า ลูกๆ หลานๆ ของท่านต่างมีครอบครัวแล้ว"

พลยิ้มแห้งๆ

"ท่านว่าอย่างนั้นหรือครับ?"

เจ้าคุณพะยักหน้า

"ถูกแล้ว ท่านบอกฉันยังงั้น"

นายพัชราภรณ์หัวเราะ

"ครับ - เมื่อท่านบอกยังงั้นผมก็ไม่ปฏิเสธ แฮ่ะ - แฮ่ะ เรามีเมียแล้วครับ มีลูกคนละคน เป็นผู้ชายเหมือนกันครับ" พูดจบเขาก็มองดูกรองทอง "คุณติ๋ว ว่างๆ ไปที่บ้านผมซีครับ จะได้รู้จักกับเมียๆ ของพวกเราไว้บ้าง ถึงแม้เราจะจากคุณไป พวกเราก็จะไม่ลืมมิตรภาพระหว่างคุณกับพวกเราเป็นอันขาด"

กรองทองยิ้มเล็กน้อย สายตาที่มองดูนายพัชราภรณ์นั้นเศร้าๆ อย่างไรชอบกล

"ง่า - ค่ะ - ดิฉันจะชวนคุณพ่อไปบ้านคุณแน่ๆ อ้า - คุณจะกลับไปบ้านคุณพรุ่งนี้หรือคะ?"

"ครับ - คิดถึงคุณเหลือเกิน"

ติ๋วยกมือกุมลูกนัยน์ตาข้างขวา

"อุ๊ยตาย - ผงอะไรเข้าตา" แล้วหล่อนก็ยกผ้าเช็ดหน้าขยี้ตา "เห็นจะเป็นขี้เถ้าแกลบโรงไฟฟ้า"

เจ้าคุณมองดูธิดาของท่าน

"อ้าว - อ้าว อย่าขยี้ยายติ๋ว น้ำตาไหลใหญ่แล้ว ประเดี๋ยวตาช้ำ รีบขึ้นไปบนตึกเอาโบลิคล้างตาเสียเถอะลูก"

อาเสี่ยพูดเสียงเครือ

"ล้างก็คงไม่ออกครับ น่ากลัวจะติดตาไปอีกนาน ขี้เถ้าแกลบมันใช่เล่นอยู่เมื่อไร ขี้เถ้าชิบหาย เสือกปลิวเข้ามาถูกตาคุณติ๋วได้ - โธ่!"

เจ้าคุณกำแหงฯ ลุกขึ้นยืน กล่าวกับสามเกลอ

"ไปคุยกันบนตึกเถอะ หลานชาย, ป่านนี้เขาคงตั้งโต๊ะอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว ไป- กินข้าวร่วมกันกับอาสักวันเถอะ อ้าว - ยายติ๋วไปแล้ว"

พล, นิกร, กิมหงวนต่างลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินตามประมุขของบ้าน "ณรงค์กุล" ออกไปจากเรือนต้นไม้

ใบหน้าของนายพัชราภรณ์เศร้าหมอง เขานึกถึงเรื่องขี้เถ้าแกลบที่ปลิวมาเข้าตากรองทอง และคงจะนึกไปอีกนานวัน

จบบริบูรณ์

อ่านข้อความข้างบนแล้ว ขอเชิญแสดงความคิดเห็นที่ "กระดานสนทนาสามเกลอ"





All contents in this web site are intended for private use and educational purpose only. Our main objectives are to promote SamGler to cyberspace surfers and to memorize Por Intalapalit, one of the greatest writers in Thai fiction history.