สามเกลอรีมิกซ์ 2 / สามเกลอข้ามมิติ ตอนที่ 5
Home Page
samgler connection members information discuss library misc. web board contact us

กระดานสนทนาสามเกลอ (Read Only)



สามเกลอรีมิกซ์ 2 / สามเกลอข้ามมิติ ตอนที่ 5
5 / เจ้าแห้ว … บุก …
เจ้าแห้วนั่งหน้าซีดอยู่ในห้องพักของตนเอง หน้าตาอมทุกข์อย่างหนัก เจ้าสมส่วนยืนอยู่ข้างหน้าทำตาปริบ ๆ มองเจ้าแห้วแล้วส่ายหัวไปมา
“พี่แห้ว ๆ อะไรกลัวพี่แห้วเหรอ” เจ้าสมส่วนเดินเตาะแตะมานั่งข้าง ๆ
“ไม่มีอะไรกลัวข้าหรอก ข้านี่แหละที่กลัว” เจ้าแห้วตอบเสียงอ่อย ๆ
“ม่ายช่าย ๆ สมส่วนถึงหมายว่า อ้า พี่แห้วน่ะ อะไรกลัวเหรอ”
เจ้าแห้วหันมามองหน้าเจ้าสมส่วนพลางถอนหายใจ
“เอ็งหมายถึงว่าข้ากลัวอะไรใช่ไหม”
สมส่วนพยักหน้าแล้วยิ้มตาหยี แต่เจ้าแห้วทำหน้าเหมือนอยากตาย
“เอ็งคิดดูสิวะอ้ายสมส่วน จู่ ๆ ข้าก็มาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วจู่ ๆ ข้ากับพวกเจ้านายก็ดันมีหน้าตาไปเหมือนกับไอ้พวกคนไม่ดี แล้วข้าก็ดันเป็นตัวสำคัญเสียด้วย เจ้านายของข้าก็ใจเด็ดเหลือเกิน ตกลงจะช่วย แต่ไม่ถามข้าสักนิดเลยว่าจะเอาด้วยหรือเปล่า”
“ความหมายว่ากลัวพี่แห้วเหรอ” สมส่วนถามอีก เจ้าแห้วเอามือทึ้งหัว
“อ้ายสมส่วนเอ๊ย แกจะถามว่า ข้ากลัวงั้นเหรอ”
“เออ เออ”
“เออ ก็กลัวสิวะ”
“ฮู้ย พี่แห้วอะไรกลัว สมส่วนไม่กลัวยังเลย ก็แค่พี่แห้วปลอมตัวในเข้าไปอยู่ที่จอมพลแห้วบ้านนั้นเท่าเอง” เจ้าสมส่วนอธิบาย
“ก็นั่นแหละโว้ยที่ข้ากลัว เกิดเขาจับได้ว่าข้าเป็นตัวปลอมล่ะ อะไรมันจะเกิดขึ้นกับข้าล่ะอ้ายสมส่วน”
เจ้าสมส่วนพยักหน้าหงึก ๆ อย่างคิดหาคำตอบ
“แค่ก็ตายเท่านั้นพี่แห้ว”
เจ้าแห้วหงายท้องตึงชูแขนชูขาตะโกนเสียงลั่น
“ … กูยังไม่อยากตายโว้ย … ”
ประตูห้องพักถูกเปิดอย่างแรงด้วยแรงถีบจากเท้าใครคนใดคนหนึ่งในคณะพรรค
“อ้ายแห้ว” นายพัชราภรณ์ร้องตวาดลั่น เจ้าแห้วสะดุ้งพรวดลุกขึ้นมานั่งพนมมือแต้
“รับประทานจ๋าครับ … ฮือ … ฮือ … ฮือ … “
นายพัชราภรณ์ส่ายศรีษะไปมาด้วยความระอาใจ
“เอ็งจะจ๋าหรือจะครับก็เอาสักอย่างสิวะ แล้วนี่ยังไม่เลิกคร่ำครวญอีกหรือไงนี่”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ เดินอ้อมมานั่งที่เก้าอี้นวม
“ไงเจ้าสมส่วน มันมีทีท่าว่าจะยอมหรือเปล่าฮึ” เจ้าสมส่วนยิ้มตาหยีตามเคย พร้อมกับพยักหน้าหงึก ๆ เจ้าคุณยิ้มอย่างพอใจ
“แสดงว่ามันตกลงงั้นรึ” สมส่วนยิ้มหวานจ๋อยอีกครั้ง
“ตกลงไม่ครับ”
เจ้าคุณทำคอย่น
“เอ๊า ไม่ตกลงแล้วเอ็งทะลึ่งพยักหน้าทำไมเล่าเจ้าสมส่วน”
“หน้าพยักถึงหมายว่าไม่ครับ” เจ้าสมส่วนตอบหน้าตาเฉย
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ยกมือวางแปะที่หัวล้านของท่านอย่างอนาจใจ
“เฮ้ย สมส่วนเอ๊ย พูดกับเจ้าแล้วเหนื่อยอย่างที่เบาหวิวมันว่ามาจริง ๆ” แล้วท่านก็หันมาหาเจ้าแห้ว
“เอ้า ว่าอย่างไรล่ะเจ้าแห้ว ถึงตอนนี้เอ็งปฏิเสธไม่ได้แล้ว”
เจ้าแห้วทำหน้าเหมือนกินยาถ่าย
“โธ่รับประทานทูนหัวของอ้ายแห้ว ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำจะให้อ้ายแห้วทำอะไรไม่เคยขัด รับประทานแต่นี่เสี่ยงกับตัวเป็นรูเหลือเกินครับ รับประทานเกิดพลาดขึ้นมามันจับอ้ายแห้วได้ รับประทานมิเหลือแต่ชื่อกลับบ้านหรือครับ” เจ้าแห้วโอดครวญ
นายจอมทะเล้นเดินเข้ามานั่งยอง ๆ ตบบ่าเจ้าแห้วเบา ๆ
“ … อ้ายแห้ว … “ นิกรเอ่ยเสียงเป็นจริงเป็นจัง
“เชื่อข้าสิวะ พวกข้าไม่ยอมให้เอ็งตายอย่างแน่นอน ข้าเชื่อว่าคนอย่างเอ็งไม่ตายง่าย ๆ และงานนี้เป็นงานที่สำคัญมาก มีเพียงเอ็งเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปที่นั่นได้ ถ้าเอ็งไม่เผลอไปทำอะไรให้ผิดสังเกตุได้ รับรองเอ็งปลอดภัยแน่นอน”
อาเสี่ยกล่าวว่า
“และถ้าหากว่างานครั้งนี้เอ็งทำสำเร็จ งานชิ้นต่อไปก็ง่ายขึ้น ถึงตอนนั้นก็จะเป็นหน้าที่ของพวกข้าแล้ว เอ็งไม่ต้องลำบาก”
เจ้าแห้วมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น
“รับประทาน จริงนะขอรับ”
“จริงสิวะ”
เจ้าแห้วพยักหน้าเบา ๆ อย่างจำยอม
“รับประทาน เอาก็เอาครับ”

เรือเร็วลำหนึ่งมุ่งตรงมายังชายหาดในตอนก่อนรุ่งสาง อากาศยามฤดูหนาวในโลกคู่ขนานนี้หนาวกว่าในอีกโลกหนึ่งมากนัก ท้องฟ้ายังคงมืดสนิทเห็นแต่เพียงดวงดาวกระจายเต็มท้องฟ้าดวงจันทร์ลอยอ้อยอิ่งอยู่ที่ขอบฟ้า ชายในชุดดำหลายคนกระโดดลงจากเรือเร็วลำนั้นแล้ววิ่งขึ้นมาที่ชายหาดอย่างรวดเร็ว ท้ายแถวนั้นเป็นชายร่างอ้วนเตี้ยวิ่งกระต้วมกระเตี้ยมตามมา ด้านหลังของบ้านพักตากอากาศริมทะเลเต็มไปด้วยต้นมะพร้าว นินจาชุดดำอาศัยความมืดแฝงเร้นเข้าไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในนั้น
ในความเงียบ ชายร่างสูงโปร่งอย่างกับเปรตและชายรูปร่างสันทัดวิ่งไปที่ริมกำแพงเอามือมาขัดประสานกันเหมือนกับจะรองรับอะไรสักอย่าง ชายรูปร่างสง่ากึ่งลากกึ่งดึงชายร่างผอมหุ่นขี้ยามาหาชายสองคนที่ขัดมือรออยู่ก่อนแล้ว ชายที่ถูกลากมาทำท่าอิดออดไม่ยอมขึ้นไปบนมือที่ขัดไว้ พยายามจะวิ่งกลับขึ้นเรือตลอดเวลา ชายรูปร่างสง่าต้องลากดึงกลับมาหลายครั้ง จนครั้งสุดท้ายชายรูปร่างสง่ารู้สึกรำคาญเต็มทนเงื้อมือทุบหลังชายหุ่นขี้ยาอย่างแรงจนหลังแอ่น จึงทำให้ชายผอมคนนั้นตัดสินใจปีนขึ้นไปบนขัดมือนั้นจนได้
ชายสองคนที่ขัดประสานมือออกแรงส่งตัวชายหุ่นขี้ยานั้นขึ้นไปบนกำแพง เขาค่อย ๆ ปีนข้ามกำแพงนั้นไปแล้วทิ้งตัวลงมาในบริเวณบ้าน เขาค่อย ๆ เปลื้องชุดสีดำของตัวเองออกซ่อนไว้ใต้กอกล้วยแล้วเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านสบาย ๆ เขามองไปรอบ ๆ บ้านแล้วทำหน้ายุ่งยาก ไก่ขันกระชั้นถี่พระอาทิตย์กำลังพ้นขอบฟ้าทางทะเลด้านหน้า เขามองซ้ายมองขวาไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตัดสินใจหันหลังกลับกระโดดขึ้นปีนกำแพง เมื่อหัวพ้นกำแพงออกมานิดหนึ่งก็พลันมีมะเหงกจำนวน 10 มะเหงกระดมเขกหัวเขาเต็มแรง เขาส่งสายตาอ้อนวอนไปหาเจ้าของมะเหงกทั้ง 10 แต่ก็ได้รับกลับมาด้วยสายตาอันโหดเหี้ยมพน้อมกับนิ้วที่ชี้ให้ไต่กลับลงไป เขาส่ายหน้าปฏิเสธ มะเหงกทั้งสิบก็ชูขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เขาถอนหายใจแรง ๆ 4 – 5 ครั้ง แล้วค่อย ๆ ไต่ลงไปคืน
เมื่อลงมาถึงพื้น เขานั่งยอง ๆ ลงแล้วพนมมือขึ้นท่วมหัว ทำปากขมุบขมิบอยู่สักพักก่อนที่จะลุกขึ้นช้า ๆ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในบ้าน
เขาคือเจ้าแห้วนั่นเอง

“สาธุ รับประทานคุณพระคุณเจ้าช่วยอ้ายแห้วด้วยเถิด ถ้าลูกรอดพ้นไปได้ ลูกจะถวายหัวหมู … ง่า … ตอนนี้ไม่มีสตางค์เลย เอาเป็นหัวจิ้งจกก่อนแล้วกันนะครับ”
เจ้าแห้วค่อย ๆ เดิน เข้ามาในบ้าน พลันเสียงหนึ่งตะโกนลั่นอยู่ข้างหลัง เจ้าแห้วสะดุ้งสุดตัว
“วู้ย ท่านจอมพลมาแต่เช้าเลยนาค้า” เจ้าแห้วหันขวับมาตามเสียงเมื่อเห็นต้นเสียงเจ้าแห้วก็ใจหายวาบเย็นไปถึงต้นคอ
“รับประทานคุณหญิงวาด คุณหญิง คุณหญิง” เจ้าแห้วพูดไม่เป็นภาษารีบนั่งลงยกมือไหว้ประหลก ๆ
หญิงชราในเสื้อคอกระเช้ากินหมากปากเปรอะเดินยิ้มร่าฟันดำเข้ามาหา
“ฮู้ย คุณหยงคุณหญิงที่ไหนกันล่ะเจ้าค้า อีฉันนางวาดไงล่ะเจ้าคะท่านจอมพล นี่สงสัยยังไม่ได้รับประทานยาสิคะถึงได้หลง ๆ ลืม ๆ อีกแล้ว”
เจ้าแห้วทำตาโตลุกขึ้นยืน
“ยาเหรอ ยาอะไร ทำไมต้องกิน” เจ้าแห้วถาม
“ก็ยาแก้โรคขี้ลืมไงเล่าเจ้าค้า ต๊าย สงสัยบ้านใหญ่ของท่านคงจะไม่ใส่ใจเลยมังคะ เห็นว่าหลง ๆ ลืม ๆ นี่คงจะออกไปหาท่านใหม่แล้วกระมังคะ” ยายวาดเดินผ่านเจ้าแห้วไปที่ตู้ยา
“โรคขี้ลืมอะไร รับประทาน เอ๊ย ไม่ใช่ นี่ฉันเป็นโรคอะไรกัน” เจ้าแห้วถาม
“ตายแล้ว ไม่ได้รับยามากี่วันแล้วคะนี่ ก็ท่านน่ะเป็นโรคขี้ลืมอย่างแรงไงเจ้าคะ ไอ้ที่หมอเขาบอกว่าโรคอะไรเม่อ ๆ นี่แหละค้า อีฉันจำชื่อไม่ได้ วุ้ย คุณหญิงของท่านนี่ไม่ได้เรื่องแล้วกระมังคะ วัน ๆ เอาแต่เดินอุ้มช้าง” ยายวาดเทยาใส่มือตัวเองเดินมาหาเจ้าแห้ว เจ้าแห้วทำตาปริบ ๆ พยายามปะติดปะต่อเรื่องต่าง ๆ อย่างเร็วที่สุด
“โรคอะไรนะเม่อ ๆ เออ แล้วฉันมีอาการอย่างไรล่ะคุณหญิง เอ้อ ว้า ป้าชื่ออะไรนะ” เจ้าแห้วถาม
“อีฉันชื่อวาดเจ้าค้า แหม จะยกให้เป็นคุณหญิงอยู่เรื่อยเชียว ก็ท่านจอมพลน่ะเป็นโรคขี้ลืมอย่างแรง ท่านมักจะลืมเรื่องต่าง ๆ เสมอ เวลาที่ต้องการจะนึกขึ้นมาก็นึกไม่ออก เวลาที่พวกหนังสือพิมพ์สัมภาษณ์ท่าน ท่านก็มักจะบอกว่าจำไม่ได้ทุกทีไงเล่าเจ้าค้า”
เจ้าแห้วพยักหน้าหงึก ๆ
“แล้วฉันทำอย่างไรต่อไปล่ะ”
ยายวาดมองหน้าเจ้าแห้วอย่างเวทนา
“โถพ่อคุณ นี่ลืมอะไรกันหนักปานนี้ เวลาที่ท่านจะทำอะไรท่านก็จะเปิดดูสมุดบันทึกของท่านสิคะ ท่านน่ะดีอยู่อย่างหนึ่งที่ท่านจดทุกอย่างเอาไว้ในสมุดบันทึกของท่านไงเล่าเจ้าค้า”
เจ้าแห้วมองซ้ายมองขวา
“แล้วไหนล่ะสมุดบันทึกของฉันล่ะ”
“อ้าว อีฉันจะไปทราบท่านหรือค้า ท่านเอาไปวางไว้ที่ไหนหรือเปล่าเจ้าค้า นึกหน่อยนะเจ้าค้า เพราะว่าในนั้นน่ะมีแต่เรื่องสำคัญ ๆ ทั้งนั้นนะเจ้าคะ เอ้า ทานยาได้แล้วเจ้าค่ะ อีฉันจะไปหุงข้าว”
พูดจบยายวาดก็เดินเข้าห้องครัวไป เจ้าแห้วเก็บยาเข้ากระเป๋ากางเกง รีบวิ่งออกไปที่ดงกล้วยเก็บเสื้อผ้าชุดดำแล้วกระโดดขึ้นไปบนกำแพงหลังบ้าน เมื่อโผล่หน้าออกมามะเหงกทั้งสิบชูร่อนรออยู่แล้ว เจ้าแห้วยกหัวแม่มือขึ้นให้สัญญาณมะเหงกทั้งสิบจึงลดลง เจ้าแห้วกระโดดลงออกมานอกแนวกำแพง แล้วทั้งหมดก็วิ่งกลับไปที่เรือเร็ว ออกเรือหายไปในท้องทะเล

“ทำไมมันต้องเอาคนสติไม่ดีอย่างนั้นมาเป็นหัวหน้า” พลเอ่ยขึ้นมากลางที่ประชุม เขาเอนหลังเงยหน้าขึ้นมองเพดานอย่างใช้ความคิด
“คนดี ๆ ทำไมไม่มาเป็นหัวหน้า”
“อาว่ามันน่าจะมีเงื่อนงำก็ได้นะพล” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ เสนอความเห็น
“ตามปกติการปฏิวัติสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการให้ข้อมูลข่าวลวง การนำเอาคนสติไม่เต็มเต็งเชิดขึ้นมาเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติก็อาจจะด้วยสาเหตุนี้ เพราะจอมพลแห้วจะให้ข่าวลวงได้น่าเชื่อถือกว่า เฮ้อ ถ้าจะเอาแบบพูดแล้วไม่รู้เรื่องก็น่าจะเอาเจ้าสมส่วนไปเป็นหัวหน้าคณะก็ได้ มั่วดีกว่าจอมพลแห้วเป็นกอง”
คณะพรรคพยักหน้าหงึกหงัก
“เวล ประเทศไทยของเราจะเป็นอย่างนี้บ้างไหมหนอ” นายแพทย์หนุ่มรำพึง
“ก็ไม่แน่ว่ะอ้ายหมอ” กระดิ่งทองกล่าวกับนายแพทย์หนุ่ม “อนาคตเป็นสิ่งที่ยากหยั่งรู้”
คณะพรรคร้องฮือต่างมองกระดิ่งทองเป็นตาเดียว
“คำคม ๆ” อาเสี่ยหัวเราะ
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ กล่าวกับที่ประชุม
“แต่ว่าในเมื่อมันเอาคนสติไม่สมประกอบมาเป็นหัวหน้าคณะ ต้องแสดงว่าจอมพลแห้วต้องมีดีอะไรสักอย่างหรือเก็บเอาความลับอะไรบางอย่างไว้กับตัวแน่ ๆ”
เจ้าแห้วทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้
“รับประทาน ยายวาดคนใช้ในบ้านบอกว่า จอมพลแห้วจะมีสมุดบันทึกประจำตัวอยู่เล่มหนึ่งขอรับ”
พลหันมามองเจ้าแห้ว
“แล้วยายวาดเขาบอกหรือเปล่าว่าเอาไว้ใช้ทำอะไร”
“รับประทาน ก็เอาไว้จดบันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในแต่ละวันขอรับ”
นายแพทย์หนุ่มขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด
“เวล ฝรั่งคิดว่า สมุดเล่มนั้นน่าจะเป็นมีประโยชน์อะไรกับเราบ้างนะครับคุณพ่อ”
“ใช่” ท่านเจ้าคุณตอบรับ “บางทีเราอาจจะได้รู้แผนการของพวกนั้นถ้าเราได้สมุดเล่มนั้นมา”
คณะพรรคต่างจ้องสายตามาที่เจ้าแห้วโดยพร้อมเพรียงกันพร้อมกับชูมะเหงกขึ้นมา เจ้าแห้วเบะปาก
“รับประทาน อีกแล้วหรือขอรับ”

เรือเร็วลำหนึ่งมุ่งตรงมายังชายหาดในตอนก่อนรุ่งสาง อากาศยามฤดูหนาวในโลกคู่ขนานนี้หนาวกว่าในอีกโลกหนึ่งมากนัก ท้องฟ้ายังคงมืดสนิทเห็นแต่เพียงดวงดาวกระจายเต็มท้องฟ้าดวงจันทร์ลอยอ้อยอิ่งอยู่ที่ขอบฟ้า ชายในชุดดำหลายคนกระโดดลงจากเรือเร็วลำนั้นแล้ววิ่งขึ้นมาที่ชายหาดอย่างรวดเร็ว หัวแถวนั้นเป็นชายร่างอ้วนเตี้ยวิ่งกระต้วมกระเตี้ยมนำมา ด้านหลังของบ้านพักตากอากาศริมทะเลเต็มไปด้วยต้นมะพร้าว นินจาชุดดำอาศัยความมืดแฝงเร้นเข้าไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในนั้น
ในความเงียบ ชายร่างสูงโปร่งอย่างกับเปรตและชายรูปร่างสันทัดวิ่งไปที่ริมกำแพงเอามือมาขัดประสานกันเหมือนกับจะรองรับอะไรสักอย่าง ชายรูปร่างสง่ากึ่งลากกึ่งดึงชายร่างผอมหุ่นขี้ยามาหาชายสองคนที่ขัดมือรออยู่ก่อนแล้ว ชายที่ถูกลากมาทำท่าอิดออดไม่ยอมขึ้นไปบนมือที่ขัดไว้ พยายามจะวิ่งกลับขึ้นเรือตลอดเวลา ชายรูปร่างสง่าต้องลากดึงกลับมาหลายครั้ง จนครั้งสุดท้ายชายรูปร่างสง่ารู้สึกรำคาญเต็มทนเงื้อมือทุบหลังชายหุ่นขี้ยาอย่างแรงจนหลังแอ่น จึงทำให้ชายผอมคนนั้นตัดสินใจปีนขึ้นไปบนขัดมือนั้นจนได้
ชายสองคนที่ขัดประสานมือออกแรงส่งตัวชายหุ่นขี้ยานั้นขึ้นไปบนกำแพง เขาหันมามองชายทั้ง 5 อย่างวิงวอน แต่คำตอบที่ได้รับก็คือมะเหงก 10 อันที่ชูขึ้น เขาพยักหน้าอย่างยอมจำนน เขาค่อย ๆ ปีนข้ามกำแพงนั้นไปแล้วทิ้งตัวลงมาในบริเวณบ้าน เปลื้องชุดสีดำของตัวเองออกซ่อนไว้ใต้กอกล้วยแล้วเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านสบาย ๆ เขามองไปรอบ ๆ บ้านแล้วทำหน้ายุ่งยาก ไก่ขันกระชั้นถี่พระอาทิตย์กำลังพ้นขอบฟ้าทางทะเลด้านหน้า
เขานั่งยอง ๆ ลงแล้วพนมมือขึ้นท่วมหัว ทำปากขมุบขมิบอยู่สักพักก่อนที่จะลุกขึ้นช้า ๆ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในบ้าน
แน่นอน … เขาคือเจ้าแห้วนั่นเอง …

“สาธุ รับประทานคุณพระคุณเจ้าช่วยอ้ายแห้วด้วยเถิด ถ้าลูกรอดพ้นไปได้ ลูกจะถวายหัวหมู … ง่า … ตอนนี้ไม่มีสตางค์เลย เอาเป็นหัวตุ๊กแกไปก่อนแล้วกันนะครับ”
เจ้าแห้วค่อย ๆ เดิน เข้ามาในบ้าน พลันเสียงหนึ่งตะโกนลั่นอยู่ข้างหลัง เจ้าแห้วสะดุ้งสุดตัว
“วู้ย ท่านจอมพลมาแต่เช้าอีกแล้วนาค้า” เจ้าแห้วหันขวับมาตามเสียง
“อ้อ คุณหญิง เอ้อ ยายวาด ฉันมาทีไรเจอแกตรงนี้ทุกที แกร้องทักฉันตกใจหมด”
“แม้ อะไรกันค้า ร้องทักก็ตกใจแล้วพ่อคุณนอกจากความจำเสื่อมแล้วยังขวัญอ่อนอีก” ยายวาดกล่าวอย่างระอาใจ “แล้ววันนี้ทานยามาหรือยังคะ”
“อ้อ เอ้อ ทานแล้ว ทานแล้ว” เจ้าแห้วตอบตะกุกตะกักแล้วมองข้ามไหล่ยายวาดเข้าไปในบ้าน ยายวาดมองตามสายตาแล้วยิ้ม
“คุณนัน คุณไพ คุณนวลและคุณภาตื่นแล้วค่ะ นั่งเล่นอยู่ในห้องรับแขกเจ้าค่ะ” ยายวาดรายงาน เจ้าแห้วทำท่ากระสับกระส่าย
“แล้ว ห้องรับแขกไปทางไหนล่ะ”
ยายวาดยืนเท้าเอวแล้วส่ายหน้า
“อาไร้ ไหนว่าทานยามาแล้วยังลืมอีก ทางนี้เจ้าค่ะตรงไปแล้วเลี้ยวขวานะเจ้าคะอย่าเลี้ยวซ้ายเพราะเป็นห้องน้ำเจ้าค่ะ” เจ้าแห้วพยักหน้ารับ
“อ้อ อ้อ จ้ะ นึกออกแล้ว นึกออกแล้ว ขอบใจนะ”เจ้าแห้วรีบเดินไปตามทางที่ยายวาดบอก
“เจ้าค้า แต่เอ๊ะ” ยายวาดทำเสียงตกใจเมื่อเจ้าแห้วเดินพ้นไปแล้ว
“ขอบใจนะ วุ้ยตายแล้ว วันนี้ฝนท่าจะตกแรง ท่านจอมพลบอกขอบใจไม่เคยได้ยิน”

เจ้าแห้วเดินตื่น ๆ เข้าไปในห้องรับแขก เมื่อพ้นประตูห้องเข้ามาเสียงแม่งามทั้งสี่ก็วี้ดว้ายกระตู้วู้วิ่งเข้ามาหาออเซาะฉอเลาะกันเป็นพัลวัล
“ท่านขา ท่านขา ยอดรักของนัน - วู้ยยายนันท่านแกคนเดียวซะเมื่อไหร่ท่านขามาหาไพเถอะค่ะไพคิดถึงท่านใจจะขาดยายนวลถอยไปไกล ๆ - นี่ยายไพเธอจะมาชุบมือเปิบได้อย่างไรวันนี้เวรของฉันนะ - ต๊าย ได้อย่างไรจ๊ะแม่นวล ท่านหายไปวันสุดท้ายก็เวรเธอนะ วันนี้ท่านมาก็ต้องเป็นเวรของภาสิ ใช่ไหมคะท่านขา”
เจ้าแห้วทำหน้าปูเลี่ยนปูเลี่ยนทำอะไรไม่ถูกเลยร้องตะโกนออกมา
“เฮิ้ว เว้ย เดี๋ยวสิครับรับประทานประธ่อ”
แม่งามทั้งสี่หยุดเสียงโดยพลันชั่วครู่แล้วเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน
“ท่านจะรับประทานหมูบะช่อ ได้ค่ะ ๆ” แม่งามทั้งสี่หันหลังกลับวิ่งวุ่นจะเข้าครัว เจ้าแห้วร้องเสียงหลง
“เฮ้ย ๆ ไม่ใช่ หมายถึง รับประทานว้า มานั่งตรงนี้ก่อนครับคุณผู้หญิงทั้งสี่ครับ โอย อยากตายจริง ๆ เลยตู” เจ้าแห้วทรุดนั่งบนโซฟาอย่างเหนื่อยใจ แม่งามทั้งสี่ต่างตรงเข้ามาปฏโบัติพัดวีนวดเฟ้น ทำเอาเจ้าแห้วนึกถึงสวรรค์รำไร
“ก็เห็นพูดว่าอะไร ธ่อ ๆ ช่อ ๆ ก็นึกว่าจะทานหมูบะช่อ” นวลจีบปากจีบคอพูดอย่างดัดจริต
เจ้าแห้วมีความรู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์ที่บรรดาเจ้านายในโลกของเขาต้องมาเป็นเมียน้อยของเขาในโลกนี้ เจ้าแห้วนึกครึ้มหอมแก้มคนนั้นทีคนนี้ทีแล้วทำหน้าชื่นอกชื่นใจ
“แหม แก้มน้อง ๆ นี่หอมดีพิลึกเลยนะ”
บรรดาสี่นางหัวเราะคิกคักอย่างเต็มไปด้วยจริตจก้าน เจ้าแห้วมีความรู้สึกว่าสาว ๆ เหล่านี้มิได้รักจอมพลแห้วอย่างจริงใจนัก น่าจะเป็นการรักเพื่อหวังผลทางการค้าเสียมากกว่า
“เออนี่น้อง ๆ จ๋า” เจ้าแห้วเอ่ยขึ้น
“น้อง ๆ นี่ก็คงจะรู้ใช่ไหมว่าพี่แห้วเป็นโรคความจำเสื่อม ต้องกินยาเป็นประจำ เวลาที่พี่มาหาน้อง ๆ บางทีพี่ก็เอาของใช้ส่วนตัวมาด้วยโดยเฉพาะสมุดสำคัญของพี่นะจ๊ะ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ถ้าพี่มาเมื่อไหร่ น้องต้องเก็บสมุดบันทึกของพี่เอาไว้ด้วยนะจ๊ะ ก่อนที่พี่จะกลับพี่จะขอคืนจากน้องนะจ๊ะ แต่ถ้าพี่ไม่ทวงก็ไม่ต้องเอาคืนให้พี่นะจ๊ะ เดี๋ยวพี่จะกลับมาเอาเองนะจ๊ะ ใครสามารถเก็บไว้ได้พี่จะให้รางวัลอย่างงามเชียวนะจ๊ะ”
“ได้ค่ะพี่แห้วจ๋า” บรรดาสี่นางขานรับประสานเป็นเสียงเดียวกัน
“วันนี้น้อง ๆ จะทำอะไรก็ไปทำนะจ๊ะ เดี๋ยวพี่แห้วจะเดินเล่นหลังบ้านสักนิดนึงแล้วพี่แห้วจะกลับเลย วันนี้แอบเขามาเดี๋ยวเขาว่าเอานะจ๊ะ”
เจ้าแห้วลุกขึ้นเดินออกมาจากห้องรับแขก แอบมาทางกำแพงหลังบ้าน เขาปีนรั้วออกมาอีกครั้งหนึ่ง คณะพรรครอเขาอยู่แล้ว เจ้าแห้วให้สัญญาณว่าเรียบร้อยแล้วปีนลงมา ทั้งหมดวิ่งลงไปที่ชายหาดอีกครั้ง แล้วขึ้นเรือเร็วออกจากชายหาดไปสู่ท้องทะเลอย่างรวดเร็ว

เย็นวันนั้น
รถยนต์สีดำติดฟิล์มกรองแสงดำสนิทวิ่งผ่านวณิพกร่างแคระที่นั่งร้องเพลงขอทานอยู่หน้าบ้านลับแห่งนั้น รถลึกลับเลี้ยวเข้าประตูบ้านอย่างรวดเร็ว วณิพกตัวน้อยขยับตัวมองผ่านเข้าไปในรั้วบ้าน เขาเห็นชายร่างผอมกะหร่องเดินออกมาจากรถคันนั้นสาว ๆ 4 คน ออกมารับเขาด้วยความยินดี รถยนต์สีดำถอยออกมาจากบ้าน แล้วลับหายไปอย่างรวดเร็ว

“สายของเรารายงานว่าจอมพลแห้วเข้าไปในบ้านแล้วครับ” หลวงโอสถสภากล่าวกับคณะพรรคในเวลาเดียวกัน
“ถ้าเช่นนั้นแผนการของเราก็น่าจะประสบความสำเร็จ” พลกล่าวขึ้น
“รออีกนิดเถิดสยามประเทศ รอให้เข้าทางอีกนิด” หลวงโอสถสภาพนมมือท่วมหัว
“สยามจะกลับคืนมาเป็นดังเดิมแน่นอน”

จอมพลแห้วเดินเงอะ ๆ งะ มานั่งที่ห้องรับแขกอย่างสบายอารมณ์ สี่นางต่างมะรุมมะตุ้มจอมพลแห้วอย่างสนุกสนาน จอมพลแห้วกอดคนนั้นทีหอมคนนี้ทีเป็นที่สบายอารมณ์
“ท่านขา ท่านเหนื่อยไหมคะ” นันทาออเซาะ จอมพลแห้วยิ้มอย่างสบายอารมณ์
“ไม่เหนื่อยหรอกจ้ะ เห็นหน้าพวกหนู ๆ ก็หายเหนื่อยแล้ว”
“อึ๊ย จริงหรือเปล่าคะท่านขา” ประไพกระแซะเข้ามาบ้าง
“นี่ท่านเดินทางไปกลับสองแควบางแสนเช้าเย็นอย่างนี้ท่านไม่เหนื่อยบ้างหรือคะ” นวลละออถาม
“อะไรกันหนู ฉันเพิ่งมาเมื่อครู่นี้เอง เมื่อเช้านี้ฉันไม่ได้มา” จอมพลแห้วทำหน้าสงสัย
“อ้าวเมื่อเช้านี่ไงคะ ท่านมาหาพวกหนูเมื่อเช้านี้แล้วไง มาแป๊บนึงแล้วท่านก็กลับไป” ประไพอธิบายพลางปลิดองุ่นผลหนึ่งป้อนเข้าปากจอมพลแห้ว
“งั้นรึ เอ ฉันก็ไม่แน่ใจนะ หรือว่าไอ้โรคความจำเสื่อมของฉันมันกำเริบเสียอีกแล้ว” จอมพลแห้วเลิกคิ้วแล้วทำหน้าปลงกับสี่นาง
“ท่านขา”
“ว่าไงจ๊ะแม่นวลจ๋า”
“วันนี้ท่านเอาสมุดบันทึกของท่านมาด้วยหรือเปล่าคะ”
จอมพลแห้วสะดุ้งเล็กน้อย เอามือลูบ ๆ คลำ ๆ ไปที่กระเป๋าเสื้อตัวเองแล้วจึงยิ้มออก
“เอามาสิ แหม นึกว่าทำหายที่ไหนเสียแล้ว นี่ถ้าทำหายไอ้พวกปฏิวัติ 5 ตัวนั่นมันคงเอาฉันตายแน่ ๆ” พูดพลางจอมพลแห้วก็หยิบสมุดบันทึกนั้นออกมา
“ความจริงน่ะ ฉันเองก็ไม่อยากไปยุ่งกับพวกนั้นเท่าไรนักหรอก มันเป็นเหตุการณ์ที่ฉันต้องจำยอม เพราะธุรกิจของฉันมันเต็มบ้านเต็มเมืองอย่างนี้ พวกปฏิวัตินั้นต้องการเงินทุนในการปฏิวัติมันเลยขอเอากับฉัน แต่ถ้าฉันไม่ให้มันก็จะเปิดโปงธุรกิจของฉัน หลาย ๆ อย่างที่ฉันใช้อำนาจทำมาหากินใต้ดินซิกแซกหลายอย่างเพื่อความร่ำรวย ถ้าฉันไม่ยอม ฉันก็จะโดนกระทืบจมดินแน่ ๆ ฉันจึงจำเป็นต้องยอมโดยการที่ฉันต้องยอมจ่ายเงินทุนให้มัน แลกกับการไม่ถูกเปิดโปงและยังมีชีวิตอยู่ได้ รวมทั้งการที่ฉันได้พวกเธอทั้งสี่คนมาอยู่ที่นี่”
จอมพลแห้วระบายความอึดอัด
“ถ้าเช่นนั้นทำไมท่านไม่หนีไปเมืองนอกเล่าคะ” ประภาเอ่ยถาม
“ไปไม่ได้หรอกหนู เพราะไม่มีประเทศไหนยอมให้ฉันเข้าเมืองของเขา”
“ท่านขา เดี๋ยวไพขอเอาสมุดบันทึกไปดูแลให้นะคะ”
จอมพลแห้วพยักหน้ารับ แล้วค่อย ๆ หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน จนหลับลงในที่สุด

กลางดึกคืนนั้นจอมพลแห้วถูกเรียกตัวกลับสองแควอย่างเร่งด่วน แน่นอน เขาทิ้งสมุดบันทึกไว้ที่บ้านลับแห่งนั้น


เรือเร็วลำนั้นมุ่งตรงมายังชายหาดในตอนก่อนรุ่งสาง อากาศยามฤดูหนาวในโลกคู่ขนานในวันนี้หนาวกว่าหลาย ๆ วันที่ผ่านมามากนัก ท้องฟ้ายังคงมืดสนิทเห็นแต่เพียงดวงดาวกระจายเต็มท้องฟ้าดาวประจำเมืองดูสุกสว่างกว่าปกติ ดวงจันทร์ลอยอ้อยอิ่งอยู่ที่ขอบฟ้า ชายในชุดดำหลายคนกระโดดลงจากเรือเร็วลำนั้นแล้ววิ่งขึ้นมาที่ชายหาดอย่างรวดเร็ว หัวแถวนั้นเป็นชายร่างอ้วนเตี้ยวิ่งกระต้วมกระเตี้ยมนำมา ด้านหลังของบ้านพักตากอากาศริมทะเลเต็มไปด้วยต้นมะพร้าว นินจาชุดดำอาศัยความมืดแฝงเร้นเข้าไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในนั้น
ในความเงียบ ชายร่างสูงโปร่งอย่างกับเปรตและชายรูปร่างสันทัดวิ่งไปที่ริมกำแพง เมื่อวิ่งไปถึงก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ทั้งคู่เดินมาดึงชายร่างผอมหุ่นขี้ยาพร้อมโบกมือไปที่กำแพงแล้วทั้งสองก็นั่งลงที่พื้นเหยียดขาตามสบาย ชายหุ่นขี้ยาชี้นิ้วเข้าหาตัวเองแล้วทำท่ากระโดดขึ้นกำแพง ชายที่เหลือทั้ง 5 คนพยักหน้าหงึกหงัก ชายหุ่นขี้ยาพยักหน้าช้า ๆ แล้วส่ายหัวเดินก้มหน้าที่ที่กำแพงตัดสินใจปีนขึ้นไป เขาค่อย ๆ ปีนข้ามกำแพงนั้นไปแล้วทิ้งตัวลงมาในบริเวณบ้าน เปลื้องชุดสีดำของตัวเองออกซ่อนไว้ใต้กอกล้วยแล้วเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านสบาย ๆ เขามองไปรอบ ๆ บ้านแล้วทำหน้ายุ่งยาก ไก่ขันกระชั้นถี่พระอาทิตย์กำลังพ้นขอบฟ้าทางทะเลด้านหน้า
เขานั่งยอง ๆ ลงแล้วพนมมือขึ้นท่วมหัว ทำปากขมุบขมิบอยู่สักพักก่อนที่จะลุกขึ้นช้า ๆ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในบ้าน
แน่นอน … เขาคือเจ้าแห้วนั่นเอง …

“สาธุ รับประทานคุณพระคุณเจ้าช่วยอ้ายแห้วด้วยเถิด ถ้าลูกรอดพ้นไปได้ ลูกจะถวายหัวหมู … ง่า … ตอนนี้ไม่มีสตางค์เลย เอาเป็นหัวตุ๊กแกไปก่อนแล้วกันนะครับ”
เจ้าแห้วค่อย ๆ เดิน เข้ามาในบ้าน เจ้าแห้วยิ้มเล็กน้อยที่ไม่มีเสียงทักอย่างปกติ ทุกอย่างเงียบ เงียบจนผิดสังเกตุ ภายในความมืด เจ้าแห้วค่อย ๆ เดินเข้าไปในห้องรับแขก ภาพที่ปรากฏต่อหน้าเขาทำให้เจ้าแห้วต้องทำตาโต เนื่องจากบรรดา 4 นาง ที่ถูกมัดมือมัดปากรวมกันที่กลางห้อง อีกด้านหนึ่งคือยายวาดแม่บ้านและที่บนโซฟาใหญ่คือจอมพลแห้วคู่เหมือนของเขานั่นเอง
จอมพลแห้วเห็นเจ้าแห้วจึงร้องเรียกเบา ๆ
“อ้วยอ๋มด้วย” เจ้าแห้วหัวเราะหึ ๆ เดินเข้าไปหา
“รับประทาน อะไรนะครับ”
“อ้วย อ้วย”
เจ้าแห้วสะดุ้งโหยง
“อ้าวแล้วกัน รับประทานเจอหน้าไหงแจกของขลังกันล่ะครับ”
จอมพลแห้วส่ายหน้าพยายามออกเสียงช้า ๆ
“อ้วย อ้วยอ๊าบบบบบบ”
เจ้าแห้วพยักหน้า
“อ๋อ รับประทาน ให้ช่วยด้วย แหมอ้ายเราก็นึกว่าจะแจกของขลังกัน เอา ช่วยก็ช่วย หันหลังมาครับ”
จอมพลแห้วหันหลังให้เจ้าแห้วแกะเชือกที่มัดมือมัดปากเขาออก เมื่อมองเห็นเจ้าแห้วในระยะใกล้จอมพลแห้วถึงกับสะดุ้ง
“โอ ขอบคุณมากครับคุณ เอ๊ะ คุณเป็นใครทำไมหน้าเหมือนผมเหลือเกินครับนี่ หรืออ้ายพวกนั้นส่งคุณมาฆ่าผม”
เจ้าแห้วโบกมือโบกไม้วุ่นเป็นพัลวัล
“โอ๊ะ รับประทาน หามิได้ครับท่านจอมพล ผมมาช่วยท่านขอรับ”
เจ้าแห้วพูดแล้วก็หันไปแก้มัดบรรดา 4 นางที่ตัวสั่นงันงกจากนั้นจึงหันไปแก้มัดยายวาด
“ขอบใจนะยะพ่อคุณ เป็นฝาแฝดกันหรืออย่างไรกันละพ่อ หน้าเหมือนกันอย่างกับแพะ”
เจ้าแห้วทำหน้าย่น
“ไม่ใช่แพะกระมังยาย ต้องเป็นแกะนะยาย”
ยายวาดหัวเราะหึ ๆ แล้วอ้าปากหาวหวอด
“แม้ อ้ายพวกเวรมันมัดยายไว้ตั้งกะหัวโพล้เพล้ ไม่ได้กินหมากสักคำเปรี้ยวปากเต็มทน”
เจ้าแห้วหันมาถามจอมพลแห้ว
“รับประทานใครมันจับท่านมัดไว้หรือครับ”
จอมพลแห้วมองออกไปนอกห้อง
“ก็อ้ายพวกปฏิวัตินะสิคุณ มันปฏิวัติซ้อนจับผมโยนออกจากเก้าอี้ประธานาธิบดีแล้วมัดเอาไว้ที่นี่ พรุ่งนี้มันจะออกประกาศทางวิทยุโทรทัศน์ว่าผมจะก่อการร้ายล้มพวกมันแล้วตอนสาย ๆ มันจะประหารผม คุณครับ ช่วยผมหน่อยนะครับ พาผมหนีไปจากที่นี่เถิดครับ”
เจ้าแห้วพยักหน้า
“รับประทานถ้าเช่นนั้นตอนนี้เราต้องหนีออกมาจากบ้านนี้ก่อนก็แล้วกัน โดยการปีนออกทางหลังบ้าน รับประทานไปให้หมดกันนี่แหละครับ”
จอมพลแห้วชะงัก
“แล้วเราจะหนีไปที่ไหนกันล่ะ”
“รับประทาน อย่าเพิ่งถามเลยครับตามผมมา อ้าวยายวาดหายไปไหนเสียแล้ว” เจ้าแห้วหันมองหายายวาด แล้วเจ้าแห้วก็ส่ายหัวไปมาเมื่อเห็นยายวาดนอนหลับกรนสนั่นอยู่ที่มุมห้องด้านหนึ่ง เจ้าแห้วเดินไปเขย่า
“ยายวาด ๆ ตื่นเร็ว มันจะเอาไปฆ่าแล้วยังจะหลับอยู่อีก”
ยายวาดเคี้ยวปากจั๊บ ๆ ค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น
“ขอยายนอนอีกสักนิดไม่ได้รึ ยันหมากง่วงเหลือเกิน”
เจ้าแห้วส่ายหน้า
“ไม่ได้ยาย เดี๋ยวก็ได้ตายกันหมดเท่านั้นแหละ ไปเร็ว สมุดบันทึกอยู่กับใครหยิบไปด้วย”

ร่างเงาดำตะคุ่ม ๆ ทั้ง 7 คนค่อย ๆ หลบออกมาทางหลังบ้าน โชคดีที่เป็นหน้าหนาวที่ฟ้าสว่างช้า ทั้งหมดปีนกำแพงกระโดลงด้านนอกอย่างรวดเร็ว คณะพรรคที่รออยู่ด้านนอกพากลุ่มที่ออกมาจากบ้านวิ่งไปตามชายหาด ขึ้นเรือเร็วแล้วหายลับไปในทะเล

โดยคุณ : สมนึก สมนาค 415 - [ 7 ธ.ค. 2002 , 23:39:24 น. ]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
ข้อความ




กรุณาคลิกที่ปุ่ม Post message เพียงครั้งเดียว 



All contents in this web site are intended for private use and educational purpose only. Our main objectives are to promote SamGler to cyberspace surfers and to memorize Por Intalapalit, one of the greatest writers in Thai fiction history.