สามเกลอรีมิกซ์ 2 / สามเกลอข้ามมิติ ตอนที่ 2
Home Page
samgler connection members information discuss library misc. web board contact us

กระดานสนทนาสามเกลอ (Read Only)



สามเกลอรีมิกซ์ 2 / สามเกลอข้ามมิติ ตอนที่ 2
2 / ดินแดนลึกลับ

ยามเช้าอันหนาวเหน็บ
อาคารทรงไทยหลังใหญ่ที่ซ่อนอยู่ภายในภูเขาที่คณะพรรคเห็นอยู่เมื่อคืนนั้นตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางแจ้งโดยมีสนามหญ้าเขียวขจีไกลสุดลูกหูลูกตาเป็นฉากหน้า อากาศภายนอกหนาวยะเยือก ทะเลที่คณะพรรคเห็นเมื่อคืนนั้นผิวน้ำราบเรียบเหมือนกระจกเงา ดวงตะวันสีแดงโผล่พ้นยอดเขาด้านหลังส่องแสงลอดบานหน้าต่างมองเห็นเป็นลำ สายลมพัดเอื่อย ๆ แต่นำพาความหนาวยะเยือกมาสัมผัสผิวกาย ละอองฝนพร่างพรายลงมาไม่ขาดระยะ นิกรมองอกมาจากหน้าต่างห้องพักของเขา พลางคิดในใจว่าบรรยากาศยามนี้ช่างดูเหมือนน้ำแข็งไสใส่น้ำหวานที่เขาซื้อกินเป็นประจำในตอนฤดูร้อนเหลือเกิน
เมื่อได้เวลา คณะพรรคก็พากันเดินออกมาจากอาคารรับรองที่ตั้งอยู่ทางด้านขวาของตัวอาคารทรงไทย เบาหวิวนำรถม้ามารับที่หน้าบันได คณะพรรคในชุดกันหนาวหนาเตอะรวมทั้งหมวกและถุงมือ อาเสี่ยใส่ชุดนี้ดูสง่ามากเนื่องจากเป็นคนตัวสูงใหญ่ส่วนเจ้าคุณปัจจนึก ฯ นั้น ดูคล้าย ๆ ลูกบอลไหมพรมเดินได้เสียมากกว่า
ม้า 4 ตัวลากรถย่างเหยาะมาตามถนนที่ปูด้วยอิฐสีแดงผ่านสนามหญ้าตรงไปยังอาคารทรงสยามเบื้องหน้า เบาหวิวบังคับม้ามาถึงหน้าประตูแล้วร้องสั่งให้ม้าหยุด
“ … ยอ … “
เจ้าแห้วหัวเราะกิ๊ก
“ฮ้าย พี่ยักษ์ ม้าหรือควายกันล่ะ ไหงต้องร้องยอด้วย”
เบาหวิวหันมายิ้มให้เจ้าแห้ว
“อ๋อ อ้ายพวกเราเลี้ยงรวม ๆ กับควายน่ะครับท่านจอมพล เวลาออกคำสั่งก็ต้องสั่งด้วยคำสั่งควายครับ”
คณะพรรคครางฮือพร้อม ๆ กัน เบื้องหน้าคือประตูไม้บานใหญ่ เบาหวิวกระโดดลงจากรถม้า
“คอยผมสักครู่ก่อนนะครับ ผมต้องแจ้งระหัสผ่านกับประตูกลก่อน”
เบาหวิวเดินไปที่ประตูนั้น เขาหยุดยืนที่หน้าประตูแล้วยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศรีษะ ค่อย ๆ ส่ายสะโพกไปมาแบบฮาไวพลางร้องเพลง
"ขี้ตั๊วะ เบ่เบ๊ อ๊า ขี้ตั๊วะ ตาลาลา"
คณะพรรคมองดูการเต้นของเบาหวิวแล้วหันมามองกันทำตาปริบ ๆ พลหันมากระซิบกับนายแพทย์หนุ่ม
"อ้ายหมอ มันทำอะไรของมันวะน่ะ" นายณรงค์ฤทธิ์ส่ายหน้าเบา ๆ
"เออหว่า เป็นฟังคล้าย ๆ หมอลำว่ะ ฝรั่งว่าระหัสผ่านอย่างนี้อ้ายกรก็เป็นทำได้ หรือว่าไงอ้ายกร อ้าว อ้ายกรกับอ้ายหงวนนั่งแคะสะดือเล่นทำไม เดี๋ยวก็ปวดท้องตายห่า"
นายจอมทะเล้นยกมือออกจากสะดือตัวเองแล้วยื่นให้อาเสี่ยดู
"ข้ากำลังพนันกันกับอ้ายเสี่ยว่าใครจะมีขี้สะดือมากกว่ากัน"
เจ้าแห้วหัวเราะกิ๊ก
"แหม รับประทานคุณท่านทั้งสองเข้าใจหาอะไรเล่นนะครับ"
ประตูไม้บานยักษ์ค่อย ๆ เลื่อนออกจากกันอย่างช้า ๆ เบาหวิวเดินผิวปากเป็นทำนองเพลงนางครวญเดินกลับมาที่รถม้าแล้วปีนขึ้นนั่ง เขาขยับสายบังเหียนเบา ๆ
"ฮึ่ย ๆ ไป ฮึ่ย ๆ"
ม้าหัวใจควายค่อย ๆ ย่างเหยาะพารถที่นั่งผ่านประตูไม้เข้าไปในเขตอาคาร มันคลานกุบกับไปจนถึงอาคารหลังใหญ่ เจ้าคุณแลเห็นเจ้าตัวเล็กเดินเตาะแตะเข้ามาเปิดประตูรถม้าให้
"อ้าว ว่ายังไงสมส่วน วันนี้มาอยู่ที่นี่รึ" เจ้าคุณกล่าวทักทาย
"เป็นยินรับต้อนดีชอรอสอเข้าสู่ทุกท่านครับ"
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ อ้าปากหวอ
"หา อะไรนะ ไหน ๆ ขอใหม่อย่างเมื่อกี้นี้อีกทีสิ"
สมส่วนทำหน้าเลิ่กลั่ก
"เออ ... เป็นรับยินต้อนชอรอสอเข้าสู่ดีทุกท่านครับ โอ๊ย สมส่วนเป็นไม่ถูกพูด" เจ้าคุณพยักหน้าหงึก ๆ หันมาหานายแพทย์หนุ่ม
"อ้ายหมอ ไหนเจ้าลองแปลให้พ่อฟังหน่อยสิ" นายแพทย์หนุ่มดึงไปป์ออกจากปากแล้วเงยหน้าหัวเราะลั่น
"เป็นสบายมากครับคุณพ่อ ถึงกระผมจะเป็นนักวิทยาศาสตร์และเป็นแพทย์ แต่ผมก็มีความรู้ด้านภาษาศาสตร์เป็นเยี่ยมเช่นกัน ง่า ครั้งหนึ่งท่านมหาราชาปูนาดองเป็นทรงต้องการให้ผมแปลวรรณคดีภาษาฮินดีโบราณเป็นภาษาอังกฤษผมก็ทำให้ท่านจนสำเร็จ"
นิกรเอื้อมมือมาสกิดแขนนายแพทย์หนุ่มเบา ๆ
"จ้าพี่ พี่น่ะเป็นเต้ยทุกอย่างน้องเชื่อ ไหนพี่ลองแปลอ้ายที่สมส่วนมันพูดให้ฟังหน่อยสิ"
นายแพทย์หนุ่มหัวเราะเสียงดังอีกครั้งก่อนที่จะหันมาถามทุกคน
"เป็นทุกคนฟังไม่เข้าใจรึ" คณะพรรคส่ายหน้า
"แล้วคิดหรือว่าไอจะรู้เรื่อง" นายแพทย์หนุ่มตอบหน้าตาเฉย

คณะพรรคลงจากรถม้า เบาหวิวเดินนำไปยังห้องประชุมโดยมีสมส่วนเดินตามมาห่าง ๆ พลมองเห็นคนแคระเดินขวักไขว่ไปมา
"เจ้าพวกตัวเล็ก ๆ พวกนี้เป็นใครกันหรือเบาหวิว" พลถามเบาหวิวอย่างเป็นงานเป็นการ เบาหวิวหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
"พวกนี้เป็นคนเผ่าพื้นเมืองชาวเกาะใกล้ ๆ นี่แหละครับ เป็นคนแคระทั้งเกาะ เราจ้างเอาไว้เป็นคนงาน พวกเขาขยัน ซื่อสัตย์แต่เสียอยู่อย่างเดียวคือพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง มักจะเรียงคำพูดสลับที่สลับทางกันไปหมดบางทีก็ใช้คำผิดซึ่งก็เล่นเอายุ่งไปเหมือนกัน มีอยู่คราวหนึ่งที่เจ้าพวกนี้วิ่งหน้าตาตื่นมาบอกว่าไฟไหม้โรงครัว พวกผมก็ต้องรีบพากันไปดับไฟ เมื่อไปถึงโรงครัวแล้วก็ไม่เห็นว่ามีอะไรเลย"
“แล้วจริง ๆ มันเป็นอย่างไร" เจ้าคุณถาม
"จริง ๆ มันจะวิ่งมาบอกว่ามันติดไฟในครัวแล้ว ... เท่านั้นเอง"
เบาหวิวเดินนำคณะพรรคผ่านเข้าไปในตัวอาคารทรงไทย สมส่วนวิ่งควบกุบกับ ๆ นำหน้าคณะพรรคไปที่ประตูห้องประชุมหมุนลูกบิดแล้วดันบานประตูเข้าไปในห้อง เบาหวิวกล่าวแนะนำกับคณะพรรค
“ท่านผู้มีเกียรติครับ นี่คือท่านหลวงโอสถสภาครับ”
ชายรูปร่างผอมสูงในชุดเสื้อคลุมสีดำผิวขาวดูสะอาดสะอ้านเงยหน้าขึ้นมามองดูคณะพรรคที่กำลังเดินเข้ามา เขาคือหลวงโอสถสภา ผู้เป็นเจ้าของเกาะแห่งนี้ เขาลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานแล้วเดินกางแขนตรงรี่มาหาเจ้าแห้ว
"โอ้ ... สวัสดีท่านจอมพล ดีใจจริง ๆ ที่ท่านมาถึงที่นี่"
เจ้าแห้วหยุดชะงักทำตาเหลือก
" ... โอ๊ยโย่ ... รับประทานกระผมไม่ใช่ท่านจอมพลอะไรหรอกขอรับ กระผมชื่อมิสเตอร์แห้วเป็นขี้ข้าของพวกท่าน ๆ เหล่านี้ขอรับ"
หลวงโอสถสภาหัวเราะเบา ๆ พลางโอบบ่าเจ้าแห้วกอดกระชับเบา ๆ
“อย่างไรเสียอีกไม่นานท่านก็จะต้องทำความเคยชินกับคำว่าท่านจอมพลอยู่ดีแหละ”
กล่าวจบหลวงโอสถสภาก็หันมาหาคณะพรรค
"ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ ขอเชิญนั่งพักผ่อนก่อนเถิดครับ"
หลวงโอสถสภาเดินนำคณะพรรคไปที่โต๊ะรับแขกไม้ขนาดใหญ่ตรงหน้า เมื่อคณะพรรคนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วหลวงโอสถสภาก็แจกห่อกระดาษเล็ก ๆ ให้กับทุกคน
พลมองห่อกระดาษอย่างสนใจ
“นี่คืออะไรครับ”
หลวงโอสถสภายิ้มเล็กน้อย
“ … อ๋อ … ยาอมโบตันน่ะครับ”
อ้ายเสือรูปหล่อหัวเราะหึ ๆ ส่ายหน้าไปมา
"ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องระหว่างสยามประเทศของผมกับพวกท่าน มันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก อ้อ ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัว ผมหลวงโอสถสภา เป็นเจ้าของเกาะนี้"
หลวงโอสถสภากล่าวขึ้นหลังจากอมยาอมแล้วทำหน้าสดชื่น
"เกิดอะไรขึ้นกับพวกเราหรือครับคุณหลวงเต๊กเฮงหยู" นิกรถามอย่างรวดเร็ว
หลวงโอสถสภาทำคอย่นยิ้มแหยๆ ให้กับนิกร
"ผมชื่อหลวงโอสถสภาครับคุณนิกร ไม่ใช่เต๊กเฮงหยู คนละคนกันครับ"
คณะพรรคหัวเราะครืน
"แล้วเรื่องที่ว่ามันเกี่ยวกับพวกผมนั้นมันคือเรื่องอะไรเล่าครับ"
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ขยับเข้ามาใกล้หลวงโอสถสภา
"คือเรื่องมันมีอย่างนี้ครับ เรื่องร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับพวกคุณนั้นมันน่ากลัวมาก ก่อนอื่นผมขอเล่าเบื้องหลังให้ฟังเสียก่อน ท่านสงสัยไหมครับว่าขณะนี้ท่านอยู่ที่ไหน”
คุณหลวงชื่อเหมือนบริษัทขายยาอมตั้งคำถาม อาเสี่ยยิ้มแต้ถูมือไปมา
“แหมคุณหลวงก็ถามอะไรตลก ๆ ที่นี่ก็ประเทศไทยไงครับ”
หลวงโอสถสภาพยักหน้ารับ
“ถูกต้องครับคุณกิมหงวน ที่นี่ประเทศไทย แต่ไม่ใช่ประเทศไทยของคุณ”
“อ้าว” คณะพรรคร้องลั่น
“ประเทศไทยก็ต้องเป็นของเราสิครับท่าน จะเป็นของคนอื่นได้อย่างไร” นายพัชราภรณ์เอ่ยถาม
หลวงโอสถสภาเอนหลังพิงเบาะอย่างผ่อนคลาย
“หากผมจะเล่าให้พวกท่านฟัง ผมก็ไม่ทราบว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ ประเทศไทยที่ท่านคิดว่าเป็นของท่านนั้น แท้ที่จริงแล้ว ไม่ได้มีเพียงไทยเดียว แต่ในปัจจุบัน จากการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วเรามีประเทศไทยอยู่ 2 ประเทศ คือประเทศไทยของท่านกับประเทศสยามของเรา”
นายแพทย์หนุ่มทำหน้าฉงน
“เวล เป็นไปได้อย่างไรครับ ประเทศสยามของท่านกับประเทศไทยของเรา ผมฟังแล้วเป็นไม่เข้าใจนัก”
หลวงโอสถสภายิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนที่จะกล่าวกับนายแพทย์หนุ่ม
“ในยามปกติ เราจะรู้จักมิติต่าง ๆ อยู่เพียง 3 มิติ อันเป็นมิติที่เกี่ยวกับระยะทาง อันได้แก่ความสูงความยาวความกว้างความลึกความใกล้ความไกล ซึ่งเป็นมิติที่สามารถจับต้องและมองเห็นได้ เหมือนอย่างยาอมโบตันซองนี้”
หลวงโอสถสภาหยิบห่อยาอมยกชูขึ้นมา
“เราสามารถมองเห็นมันได้”
คณะพรรคพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
“แต่มีอีกมิติหนึ่งที่เรามองมันไม่เห็น แต่ว่ามันมีอยู่จริง”
“หมายความว่าอย่างไรครับ” นายพัชราภรณ์เอ่ยแทรก
หลวงโอสถสภาชี้นิ้วไปที่นอกหน้าต่าง
“อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ในช่วงเวลาเดียวกัน สามารถมีเหตุการณ์อะไรหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นพร้อมกันได้ เช่น ในขณะที่ผมกำลังพูดอยู่นี้ เจ้าสมส่วนก็กำลังเดินไปที่หน้าต่างเป็นต้น แปลว่า ในวินาทีเดียวกันเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้พร้อม ๆ กันในวินาทีนั้น แต่นั่นเป็นเรื่องของมิติเวลาในโลกเดียวกัน ท่านพอจะเข้าใจไหม”
เจ้าแห้วอ้าปากหวอ
“รับประทาน ไม่เข้าใจเลยขอรับ”
“เดี๋ยวท่านจะเข้าใจเองท่านจอมพล” หลวงโอสถสภากล่าวกับเจ้าแห้ว
“มิติเวลาในโลกเดียวกันเราสามารถมองเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มิติเวลาอีกมิติหนึ่งอันเป็นมิติเวลาคนละโลกที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งเกิดจากความบังเอิญของธรรมชาติที่อธิบายได้ยาก ผมเกรงว่าท่านจะไม่เข้าใจ”
นายแพทย์หนุ่มกล่าวกับหลวงโอสถสภา
“เวล ผมเองก็ยังเป็นงง ๆ อยู่เหมือนกันครับ อยากให้ท่านอธิบายให้กระจ่างกว่านี้อีกสักนิด”
หลวงโอสถสภายิ้มน้อย ๆ ก่อนจะอธิบายต่อ
“ผมกำลังจะอธิบายว่าในโลกที่ท่านใช้ชีวิตอยู่นั้น แท้ที่จริงแล้วมันถูกเชื่อมต่อกับอีกมิติหนึ่งโดยมีช่องว่างของมิติซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยังหาคำอธิบายไม่ได้ว่าเราจะควบคุมมันอย่างไร จากทางเชื่อมของช่องว่างระหว่างมิติเราพบว่ามีโลกอีกโลกหนึ่งที่เหมือนกับโลกที่ท่านอาศัยอยู่ แต่แตกต่างกันที่ว่าบ้านเรือนอาคารสถานที่และผู้คนอาจจะไม่เหมือนกันแต่ในบางครั้งก็อาจจะมีคนที่เหมือนกันอยู่ในโลกอีกฟากหนึ่งก็ได้ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เกิดได้ยากมากทางทฤษฎี เราเรียกมิตินี้ว่ามิติคู่ขนาน มันเหมือนกับการที่เราส่องกระจกเงา เราจะพบว่ามีตัวเราอีกคนอยู่ในกระจกซึ่งเราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ และเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าตัวเราหรือคนที่อยู่ในกระจกนั้น ใครเป็นตัวจริงกันแน่”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ พยักหน้าหงึก ๆ
“อืม ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าโลกที่เราอยู่นี้ไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว แต่ในอีกมิติหนึ่งก็ยังมีโลกแบบเดียวกันนี้อยู่”
หลวงโอสถสภาพยักหน้า
“ถูกต้องแล้วครับท่าน ท่านฉลาดมากสมกับที่เป็นนายทหารระดับสูง ง่า ภาษาในมิติของท่านเรียกคนฉลาด ๆ ว่า ง่า … เรียกว่าอะไรนะสมส่วน”
เจ้าสมส่วนยิ้มตาหยี
“เรียกว่าหัวใสครับ”
คณะพรรคหัวเราะลั่นทันทีที่เจ้าสมส่วนตอบ มีเพียงเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ที่นั่งขบฟันกรอด ๆ อาเสี่ยกับนิกรถึงกับลงลูกคอร่วน
“อ้ายสมส่วน เอ็งกับข้าท่าจะอยู่ร่วมโลกเดียวกันไม่ได้เสียแล้วกระมัง”
หลวงโอสถสภาทำหน้าเลิ่กลั่ก
“เอ๊ะ อย่างไรกันครับ คำว่าหัวใสตลกตรงไหนหรือครับ”
ท่าเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ข่มใจอย่างหนักก่อนที่จะเอ่ย
“คุณหลวงครับ ถ้าหากจะคุยกันต่อ กรุณาเลี่ยงคำว่าล้าน เลี่ยน เตียน โล่ง ลื่น เกลี้ยง ใสหรือว่ามันแผล็บอะไรอย่างนี้ เพราะว่ามันพาดพิงมาถึงกบาลของผม ผมไม่ชอบ”
หลวงโอสถสภาทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้
“โอ๊ยโย่ … ผมไม่มี … ผมไม่มีเจตนาเลยขอรับ”
คราวนี้คณะพรรคยิ่งหัวเราะหนักเข้าไปอีก เจ้าคุณปัจจนึกตวาดแว้ด
“คำว่าผมไม่มีก็ห้ามพูด ปั๊ดธ่อเว้ย เฮ้ย อ้ายพวกนี้ก็หยุดหัวเราะกันสักทีเดี๋ยวพ่อยันไปนู่น”
คณะพรรคกลั้นเสียงหัวเราะอย่างยากลำบาก อาเสี่ยกับนายจอมทะเล้นยังนั่งอมยิ้มแก้มตุ่ยบางทีก็ปล่อยพรืดออกมาจากจมูกอย่างกลั้นไม่อยู่
“เอาเถอะคุณหลวงอธิบายเรื่องของคุณต่อไปก็แล้วกัน”
หลวงโอสถสภายิ้มแป้น
“ผมกำลังจะบอกพวกท่านว่าขณะนี้พวกท่านอยู่ในประเทศสยามนี่แหละ แต่เป็นประเทศสยามในอีกมิติหนึ่ง”
คราวนี้คณะพรรคทำตาเหลือก ดร.ดิเรกกล่าวว่า
“นั่นหมายความว่าที่นี่เป็นมิติคู่ขนานของประเทศไทยอย่างนั้นหรือครับ”
หลวงโอสถสภาพยักหน้า
“ใช่แล้วครับคุณหมอมิติที่เราอยู่กันตรงนี้เป็นมิติคู่ขนานของประเทศไทย ซึ่งเราคำณวนไว้แล้วว่าทางเชื่อมมิติทั้งสองมาเชื่อมกันเมื่อคืนนี้เวลาสองทุ่มกว่า ๆ และเราก็ให้เบาหวิวไปรับท่านมา”
เจ้าแห้วทำหน้าเหมือนจะตาย
“อ๋อย รับประทานแล้วนี่เราจะกลับได้ไหมขอรับ”
หลวงโอสถสภายิ้มเล็กน้อย
“กลับได้ครับท่านจอมพล แต่ว่าอีก 3 ปีข้างหน้ากว่าช่องมิติจะมาบรรจบกันอีกครั้งหนึ่ง”
“สามปี” คณะพรรคร้องขึ้นพร้อมกัน
“แล้วทำไมถึงได้เกิดมิติคู่ขนานของประเทศไทยได้เล่าครับ” พลถามอย่างเป็นงานเป็นการ
“เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อครั้งประเทศสยามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ปีนั้นดาวหางใหญ่ดวงหนึ่งแทรกเข้ามาในวงโคจรของโลก ดาวหางดวงนั้นมีอนุภาคคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสูงมาก สูงจนเกิดการเปลี่ยนแปลงของมวลอวกาศใกล้ ๆ กับผิวโลก เกิดการแตกตัวของมิติเป็นสองด้าน และกลายเป็นมิติคู่ขนานขึ้นมา มิติทั้งสองด้านต่างเป็นอิสระต่อกันและที่สำคัญก็คือมิติทั้งสองด้านต่างก็ไม่รู้ว่ามีมิติฝาแฝดของตนเองอยู่ จนเมื่อไม่นานมานี้ มิติทางด้านของผมก็คิดค้นการคำณวนหาการบรรจบกันของช่องว่างระหว่างมิติได้”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ เอ่ยถาม
“แล้วคุณหลวงพาพวกเรามาที่นี่ทำไมครับ”
หลวงโอสถสภาพยักหน้าเบา ๆ
“ผมจะพาคณะของท่านไปเข้าเฝ้าพระเจ้าสุริยะ พระมหากษัตริย์ของเรา พระองค์ท่านจะทรงอธิบายให้คุณทราบเองว่าทำไมเราต้องนำท่านทั้งหลายมาที่นี่ ขอเชิญตามมาทางนี้ครับ”
พูดจบหลวงโอสถสภาก็ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า
“ … พวกท่านเท่านั้นคือผู้ที่จะช่วยพวกเราได้ … “
โดยคุณ : สมนึก สมนาค 415 - [ 21 พ.ย. 2002 , 21:57:10 น. ]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
ข้อความ




กรุณาคลิกที่ปุ่ม Post message เพียงครั้งเดียว 



All contents in this web site are intended for private use and educational purpose only. Our main objectives are to promote SamGler to cyberspace surfers and to memorize Por Intalapalit, one of the greatest writers in Thai fiction history.