สามเกลอรีมิกซ์ ตอนจบ (เสียที)
Home Page
samgler connection members information discuss library misc. web board contact us

กระดานสนทนาสามเกลอ (Read Only)



สามเกลอรีมิกซ์ ตอนจบ (เสียที)
14
วันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. 2135 ตรงกับวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2135
กองทัพไทยภายใต้การนำของสมเด็จพระนเรศวรยาตรามาถึงหนองสาหร่าย เบื้องหน้าไกลออกไปในทางทิศตะวันตกคือกองทัพของพระมหาอุปราชาหงสาวดี กองทัพทั้งสองเผชิญหน้ากันแล้ว อีกไม่นานเลือดคงนองแผ่นดินหนองสาหร่ายเป็นแน่
คณะพรรคยืนอยู่ทางปีกขวาของกองทัพ ต่างก็กุมดาบกระชับมั่น ดร.ดิเรกดึงคณะพรรคออกมาด้านหลัง
"พวกเรา ไอมีอะไรจะบอกบางอย่าง พวกเรามีทางที่จะกลับบ้านได้แล้ว "
คณะพรรคต่างตื่นเต้นเป็นล้นพ้นเมื่อนายแพทย์หนุ่มเอ่ยขึ้นเช่นนั้น
"แกมีวิธีไหนรึเจ้าหมอ"
"คุณพ่อเป็นจำเรื่องที่คุณพ่อเล่าเมื่อก่อนอกทัพมาได้ไหมครับ เราพิสูจน์แล้วว่าในวันประชุมพลที่ทุ่งลุมพลีนิมิตรที่ว่านั้นมันก็เกิดขึ้นจริง และมันก็คือจานผี ดังนั้น ในวันนี้ อีกไม่นานนี้จานผีมันจะต้องมาอีก และผมเชื่อว่ามันจะต้องร่อนลงสู่พื้นที่ป่าทางด้านเหนือนี้เป็นแน่"
"ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้น" ท่านเจ้าคุณถาม
"ก็เพราะตามพงศาวดารบอกว่า ในขณะที่ทรงทำยุทธหัตถีนั้น จะเกิดพายุใหญ่และพัดพาฝุ่นฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณนี้ แต่คุณพ่อดูสิครับว่าตอนนี้ฟ้ายังคงสว่างแจ้งออกอย่างนี้ ไม่มีวี่แววฝนสักนิด อะไรเล่าครับที่มันจะทำให้เป็นเกิดพายุและฝุ่นฟุ้งได้ขนาดนั้น นอกจากพัดลมขนาดยักษ์หรือใบพัดขนาดใหญ่ แต่ในยุคที่เราเป็นยืนกันอยู่นี้ สิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นยังไม่มีใครคิดขึ้นมาได้ ผมจึงคิดว่า นั่นน่าจะเกิดขึ้นมาจากจานผีเป็นแน่แท้ และถ้ามันร่อนลงจริงเราก็อาจจะเอาพลังงานจากจานผีนั้นมาทำให้เครื่องย้อนเวลาทำงานได้"
ท่านเจ้าคุณนึกอะไรขึ้นได้บางอย่างจึงหันไปสั่งการกับนิกร
"อ้ายกรฟังพ่อ อีกสักครู่ก่อนที่จะมีการทำยุทธหัตถีขึ้นที่นี่ ฟ้าจะมืดครึ้มผิดปกติ และอ้ายจานผีนั่นมันอาจจะร่อนลงตรงนี้ ถ้าเป็นไปตามที่เจ้าดิเรกมันว่า จะเกิดพายุใหญ่ขึ้นตามมาและหอบเอาฝุ่นจำนวนมากขึ้นมาด้วย แต่ช้างทรงของพระนเรศวรจะไปถึงสนามรบก่อน ส่วนพวกเราที่อยู่ตรงนี้จะตามท่านไปไม่ทัน เราจะใช้ช่วงเวลาตรงนี้ไปที่จานผีนั่นส่วนเจ้ากับเจ้าแห้ว ตอนนี้รีบไปหาคุณหลวงยกกระบังโดยด่วน เล่าเรื่องที่จะเกิดให้ท่านฟังแล้วพากันไปนิมนต์ท่านสมเด็จพระพนรัตน์ที่วัดป่าแก้วโดยด่วน"
นิกรอ้าปากหวอ
"ไปนิมนต์มาทำบังสุกุลพวกเราหรือครับ"
ท่านเจ้าคุณสะดุ้งโหยง
"บังสุกุลพ่อตามึงน่ะสิ" แล้วท่านก็สะดุ้งโหยงเมื่อนึกได้ว่าเป็นตัวท่านเอง
"เจ้าจงไปนิมนต์สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วมาโดยด่วน เพราะหลังจากที่ทรงทำยุทธหัตถีเสร็จแล้วพวกนายทัพนายกองจะต้องโดนอาญาใหญ่ เพราะตามเข้าไปช่วยพระองค์ไม่ทัน"
นิกรทำหน้าเหมือนกินบรเพ็ด
"คุณพ่อครับ แล้วอีตาหลวงตั้งกระบังนั่นจะเชื่อผมหรือครับ พวกเรามันก็แค่ทหารเลวเท่านั้น"
"อ้ายกร อ้ายลูกเขยของพ่อ เจ้าเคยทำนายผลของสงครามคราวก่อนได้อย่างถูกต้องมาแล้วครั้งหนึ่งมิใช่หรือ แล้วมันก็เป็นจริง คุณหลวงเองก็เลื่อมใสในการทำนายทายทักของเจ้า เจ้าจงไปทำนายผลของสงครามครั้งนี้ให้ท่านฟัง แล้วชวนท่านไปกับเจ้า เอาเจ้าแห้วไปด้วย จากสุพรรณบุรีไปอยุธยาโดยม้าเร็ว ไม่น่าจะเกิน 3 วัน 5 วัน เมื่อไปถึงวัด อธิบายให้ท่านฟังให้สิ้น แล้วนิมนต์ท่านเข้ามาในวังโดยด่วน เพราะท่านผู้เดียวที่จะขอบิณฑบาตรชีวิตบรรดาแม่ทัพนายกองเหล่านี้ไว้ได้"
นิกรนิ่งนึกอยู่ชั่วครู่
"เอาวะ เอาไงก็เอากัน ไหน ๆ เรื่องมันก็เหลือเชื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว ผมจะลองทำเรื่องเหลือเชื่ออีกสักหนจะเป็นไรไป ไป อ้ายแห้ว ไปกับข้า"
นิกรพาเจ้าแห้วไปหาหลวงตั้งกระบัง เจรจากันอยู่ครู่ใหญ่ท่านเจ้าคุณก็แลเห็นหลวงตั้งกระบัง นิกรและเจ้าแห้วควบมาคนละตัวเดินทางกลับไปอยุธยา
15
ท้องฟ้าเหนือแผ่นดินหนองสาหร่ายที่สว่างจ้าเมื่อครู่นี้ค่อย ๆ ครึ้มลง เจ้าคุณปัจจนึก ฯ กับ ดร.ดิเรกแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า นายจอมนักวิทยาศาสตร์ไทยอุทานเบา ๆ เมื่อแลเห็นวัตถุทรงกลมสีดำขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ ผืนความมืดกำลังแผ่ปกคลุมไปทั่วลานกว้างเหมือนกับเวลาพลบค่ำ เหล่านกกาที่อยู่ในบริเวณนั้นพากันโผบินกลับคืนสู่รัง ไมยราบหุบใบนอน เหล่าทหารทั้งสองทัพต่างจับจองมองกันและกันไม่ขยับเขยื้อน
เจ้าคุณปัจจนึกเอ่ยกับสามสหายเบา ๆ
"พล อ้ายหมอ อ้ายเสี่ยถึงเวลาแล้ว"
อาเสี่ยกำดาบแน่นขยับเท้าไปมา
"ถึงเวลาบุกพวกพม่ามันเลยใช่ไหมครับ"
ท่านเจ้าคุณทำคอย่น
"มึงก็บุกไปคนเดียวสิไอ้เปรตเอ๊ย ข้าหมายถึงว่าเราจะต้องแอบหลบไปที่ชายป่าทางด้านทิศเหนือนู่น อาศัยความมืดอย่างนี้แฝงตัวไป อีกสักครู่จานผีลำนั้นมันอาจจะร่อนลง แล้วเราต้องรีบเข้าไปหาแหล่งพลังงานของจานผีนั้นให้พบ เพื่อเราจะได้กลับบ้านของเราได้สักทีไงเล่า"
อาเสี่ยทำตาโตเท่าไข่ห่าน
"โอ้โหคุณอาครับ นี่เราจะปล้นมนุษย์ต่างภิภพกันเลยหรือครับนี่"

คณะพรรคทั้งสี่ที่เหลือค่อย ๆ แอบออกมาจากแถวทหารมุ่งหน้าเข้าสู่ชายป่าทางด้านทิศเหนือที่โพ้นออกไปโดยไม่มีใครเห็น ท้องฟ้าที่มืดครึ้ม อากาศเริ่มเย็นลง ลมที่พัดเอื่อย ๆ เมื่อครู่กลับค่อย ๆ ทวีความแรงขึ้นมาเรื่อย ๆ ยอดไม้ใหญ่ที่ชายทุ่งโยกเอนไปมาคล้ายกับมีมือยักษ์มาปัดให้เหวี่ยงไหว บนท้องฟ้ามีเสียงครั่นครืน จนแผ่นดินสะเทือน คณะพรรคต่างแหงนหน้าขึ้นไปมองจานผี
"พวกเราดูนั่น จานผีเป็นมีท่าทางประหลาด มันสั่นไหวอย่างไรพิกล"
พลกล่าวอย่างตื่นตระนก
"อ้ายหมอ ข้าสงสัยว่ามันจะไม่ได้ร่อนลงอย่างปกติเสียแล้วสิ"
"อย่างไรหรือพล ที่เอ็งว่ามันจะไม่ร่อนลงอย่างปกติ"
อ้ายเสือรูปหล่อกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น
"ข้าว่ามันกำลังจะตกน่ะสิ"
ดร.ดิเรกแหงนมองท้องฟ้าอีกครั้ง
"ก็อาจจะใช่ ดูท่าทางแล้วมันมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับพาหกาศลำนี้เป็นแน่ ดูสิมันสั่นใหญ่แล้ว มันอาจจะตกอย่างที่เอ็งว่า" นายแพทย์หนุ่มคล้อยตามความคิดเห็น
"ไอ๊ย่า แล้วอย่างนั้นมันจะไม่ระเบิดหรืออ้ายหมอ" อาเสี่ยถามเสียงสั่น
"ไม่"
"เอ๊า แล้วแกรู้ได้อย่างไรว่ามันไม่ตกน่ะ"
นายณรงค์ฤทธิ์หันมาตอบหน้าตาเฉย
"ก็เพราะพงศาวดารไม่ได้บันทึกไว้น่ะสิ พ่อตาข้าก็ไม่ได้เล่าว่ามีเสียงระเบิดดังขึ้นด้วย"
อาเสี่ยทำหน้าเหมือนกินยาถ่าย
"โธ่ อ้ายหมอ ถ้าเกิดสมมุติว่าเขาลืมเขียนเข้าไปล่ะ เรามิม่องเท่งกันหมดหรือ"
"ม่ายรู้เว้ย" ดร.ดิเรกตวาดแล้ด "ผิดถูกอย่างไรก็โทษคุณพ่อตาข้าเอาก็แล้วกัน"
ท่านเจ้าคุณทำปากจิ๊กจั๊กอย่างรำคาญเต็มทน
"อ้ายเสี่ยเอ๊ย อ้ายพ่อมหาจำเริญ พวกเรานี่เผชิญศึกกันมากีหนแล้ว เราก็ยังรอดมาได้ทุกที ลูกผู้ชายกลัวอะไรกันเล่า เกิดหนเดียวตายหนเดียว"
อาเสี่ยทำตาแดง ๆ คล้ายจะร้องไห้
"ก็จริงแหละครับคุณอา แต่ผมยังไม่ได้สั่งเสียเมียเลย ว่าถ้าผมตายแล้วอย่าเพิ่งรีบมีผัวใหม่คนเขาจะว่าเอาได้"
พลว่า
"ไปเถอะอ้ายเสี่ย พวกเราไม่มีทางตายหรอก ขืนตายตาปิ๋วแกก็หมดทางหากินกันเท่านั้นเอง"

จานผีที่บดบังแสงอาทิตย์อยู่เมื่อครู่เริ่มมีอาการสั่นไหวรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ มันค่อย ๆ ส่ายไปมาเหมือนกับว่าทรงตัวบนอากาศไม่อยู่ เพียงชั่วครู่จานผีค่อย ๆ เคลื่อนออกจากดวงอาทิตย์ แล้วลอยตุปัดตุเป๋ไปทางป่าทึบด้านเหนืออย่างที่ ดร.0ดิเรกคาดไว้
"มาแล้ว มาแล้ว"
ดร.ดิเรกตะโกนบอกคณะพรรคในขณะที่วิ่งเข้าไปในป่าทึบ ท่านเจ้าคุณวิ่งกระต้วมกระเตี้ยมตามมาข้างหลัง วิ่งไปก็แหงนหน้ามองจานผีไป ไม่ได้ระวังตัวเองจึงวิ่งชนต้นไม้ใหญ่ข้างหน้าอย่างจังร่างอ้วนกลมก้นจ้ำเบ้า
"อูย ไอ้ต้นไม้เวรนี่ ดันมายืนขวางทางข้าได้ อูย กระบังลมกูพังหมด"
ท่านเจ้าคุณค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นแล้วออกแรงวิ่งตามต่อไป

กลางทุ่งหนองสาหร่าย ท้องฟ้าที่มืดครึ้มเมื่อครู่กลับสว่างขึ้นอีกครั้ง เหล่าพหลพลพยุหเสนาต่างก็โห่ร้องอย่างฮึกเหิม คชาธารพลายเจ้าพระยาไชยยานุภาพที่กำลังตกมันยืนส่ายหัวโยกตัวไปมา พร้อมที่จะเข้ารอนศึกในทันทีที่ควาญช้างสับขอ

จานผีลอยต่ำลง ๆ อย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งเข้าสู่ป่าทึบทางทิสเหนือ เสียงท่านเจ้าคุณตะโกนโหวกเหวก ๆ มาแต่ไกล
"โว้ย รอด้วยโว้ย โอย เหนื่อยเหลือเกิน หัวใจแทบจะเต้นออกมานอกอกแล้ว ไม่เคยวิ่งอะไรมาไกลขนาดนี้เลย"
สามสหายยังคงวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง จานผีที่ลอยมาข้างหลังเริ่มลอยผ่านหัวของคณะพรรคไปข้างหน้า

สมเด็จพระนเรศวรทรงผินพระวรกายไปยังเบื้องปฤษฎางค์เพื่อรับพระแสงของ้าวจากเจ้ารามราฆพผู้เป็นกลางช้าง ทรงกุมพระแสงของ้าวกระชับมั่น สายพระเนตรของพระองค์ยังทรงจับจ้องอยู่ที่ทัพข้าศึกเบื้องหน้า ครู่หนึ่งทรงยกพระหัตถ์ขึ้นเหนือเศียร เจ้ารามราฆพท้ายช้างชูภู่สัญญาณขึ้นทั้งสองข้าง นายมหานุภาพผู้เป็นควาญท้ายช้างขยับกายเพื่อเตรียมพร้อมรับคำสั่ง

จานผีลำยักษ์พุ่งเข้าชนยอดไม้ในป่าทึบด้านเหนือแล้วตกสู่พื้นอย่างรุนแรง สามสหายทิ้งตัวหมอบราบลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว ท่านเจ้าคุณที่วิ่งตามมาข้างหลังไม่ทันเห็นก็วิ่งเหยียบขึ้นไปบนหลังของอาเสี่ยเต็มรัก
"ว้าก ตายแหล่ว ตายแล้ว จานผีตกใส่หลังแล้ว อาซำปอกงช่วยลูกด้วยอ้า"
อาเสี่ยร้องโหยหวนด้วยความตกใจ ท่านเจ้าคุณที่วิ่งเลยไปแล้วได้ยินเสียงก็หยุดกึกแล้วหันไปดู
"อ้าว อ้ายเสี่ย นึกอย่างไรถึงมานอนเล่นตรงนี้เล่า"
"ไม่ได้นอนเล่นครับแล้วกัน อู๊ยดันเหยีบขึ้นมาบนหลังคนได้"
"คุณอารีบหมอบลงมาเร็วครับ จานผีมันตกลงมาแล้ว" พลตะโกนเรียก
ท่านเจ้าคุณกระโดดแผล็วลงมาหมอบรวมอยู่กับสามสหายทันที เสียงจานผีตกสู่พื้นดังฟ้าถล่มเบื้องหน้ากับเสียงโห่ร้องข่มขวัญข้าศึกของกองทัพไทยเบื้องหลัง จานผีตกสู่พื้นอน่างรุนแรงทำให้เกิดลมหวนพัดแรง แผ่นดินตรงนั้นกลายเป็นฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว

สมเด็จพระนเรศวรทรงตวัดพระหัตถ์ลง เจ้ารามราฆพกลางช้างสบัดภู่สัญญาณให้พลกลองศึกฆ้องศึกลั่นลัญญาณโดยรวดเร็ว เสียงกลองศึกฆ้องศึกดังกระหึ่มก้อง พลายเจ้าพระยาไชยานุภาพของพระนเรศวรและพลายเจ้าพระยาปราบไตรจักรของสมเด็จพระเอกาทศรถ ที่กำลังตกมันได้ที่เกิดตื่นตกใจเสียงดัง ชูงวงส่งเสียงร้องดังลั่นแล้วถลันวิ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ลมหวนพัดเอาฝุ่นจากชายป่าข้ามมาตลบทุ่งกว้างบริเวณที่กองทัพไทยยั้งรออยู่ เหล่าบรรดาขุนทหารต่างตกอยู่กลางทะเลฝุ่น มองอะไรไม่เห็นไม่รู้แม้กระทั่งว่านายทัพของตน บัดนี้ไปอยู่ในวงล้อมของข้าศึกแล้ว

นายณรงค์ฤทธิ์ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าฝุ่นที่ฟุ่งอยู่เมื่อครู่สลายลงไปแล้ว
"เร็วอ้ายพล อ้ายเสี่ย คุณพ่อ รีบเข้าไปที่จานผีข้างหน้า แล้วค้นหาอะไรก็ได้ที่มันดูเหมือนแบตเตอรี่ เมื่อพบแล้วหยิบออกมาเลย"
อาเสี่ยหันมาถามนายแพทย์หนุ่ม
"แล้วไอ้ที่เอ็งว่ารูปี่างหน้าตามันจะเป็นอย่างไรล่ะ"
ดร.ดิเรกทำหน้าพิพักพิพ่วน เกาหัวอย่างหงุดหงิด
"อะไรอย่างไรก็เอามาเถอะอ้ายเสี่ย เร็วเข้า"
คณะพรรควิ่งไปข้างหน้าเข้าประตูจานผีที่เปิดอ้าอยู่ ทั้งหมดต่างอัศจรรย์ใจว่าภายในจานผีลำนี้ไม่มีร่างของอาคันตุกะจากต่างโลกอยู่เลย คณะพรรคต่างแยกย้ายกันไปหาตามที่ต่าง ๆ
ภายนอกไกลออกไปยังปกคลุมด้วยฝุ่นคลุ้ง

พลายเจ้าพระยาไชยยานุภาพเมื่อถลันนออกมาพ้นทะเลฝุ่นแล้วก็ยืนสงบนิ่ง พระนเรศวรนั้นอยู่กลางแปลงที่แวดล้อมด้วยบรรดาข้าศึก เบื้องหน้านั้นคือพระมหาอุปราชา สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงขับช้างพระที่นั่งตรงไปยังพระมหาอุปราชา แล้วร้องตรัสไปโดยฐานที่คุ้นเคยกันมาแต่ก่อน มีความว่า
"เจ้าพี่จะยืนช้างอยู่ในที่ร่มไม้ทำไม เชิญเสด็จมาทำยุทธหัตถีกันให้เป็นเกียรติยศเถิด กษัตริย์ภายหน้า ที่จะทำยุทธหัตถีได้อย่างเรา จะไม่มีแล้ว"

พลยกกล่องสี่เหลี่ยมขนาดย่อมออกมาจากห้อง ๆ หนึ่งพลางร้องเรยีก ดร.ดิเรกให้มาดู นายแพทย์หนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบออกมาตามเสียงเรียก เมื่อมอเห็นสิ่งท่อยู่ในมือของนายพัชราภรณ์ จอมนักวิทยาศาสตร์ไทยก็ยิ้มอย่างดีใจ เขาล้วงมือเข้าไปในย่ามที่นำติดตัวมา หยิบเครื่องมือย้อนเวลาออกมาจากย่าม ดร.ดิเรกดึงสายไฟสองเส้นออกมาแล้วแหย่ไปที่ขั้วโลหะสองขั้วที่อยู่เหนือกล่องสี่เหลี่ยมนั้น
หลอดไฟบนเครื่องย้อนเวลาที่ไม่ได้เคยใช้งานมาสองปีกว่ากลับกระพริบอีกครั้งหนึ่ง นายแพทย์หนุ่มยิ้มอย่างพึงพอใจ

พระมหาอุปราชา เมื่อทรงได้ยินดังนั้นก็ขับพลายพัทธกอซึ่งเป็นพระคชาธาร ออกมาชนกับเจ้าพระยาไชยานุภาพ พระคชาธารของสมเด็จพระนเรศวร ในชั้นแรก เจ้าพระยาไชยานุภาพเสียที พลายพัทธกอได้ล่างแบกรุน พระยาไชยานุภาพเบนจะขวางตัว พระมหาอุปราชาได้ทีฟันด้วยพระแสงของ้าว สมเด็จพระนเรศวรเบี่ยงพระองค์หลบทัน ถูกแต่พระมาลาหนังขาดลิไป พอพระยาไชยานุภาพสะบัดหลุด แล้วกลับชนได้ล่างแบกถนัดรุนพลายพัทธกอหัวเบนไป สมเด็จพระนเรศวรก็จ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าว ถูกพระมหาอุปราชาที่ไหล่ขวาขาด สิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถได้ชนช้างกับเจ้าเมืองจาปะโร และฟันเจ้าเมืองจาปะโรตายเช่นกัน ทหารพม่าก็เข้ามากันพระศพพระมหาอุปราชา และเจ้าเมืองจาปะโรออกไป แล้วเข้าระดมยิงถูกสมเด็จพระนเรศวรที่พระหัตถ์ได้รับบาดเจ็บ และถูกนายมหานุภาพควาญช้างพระที่นั่ง กับหมื่นภักดีศวรกลางช้างสมเด็จพระเอกาทศรถ ตายทั้งสองคน ขณะนั้น กองทัพเจ้าพระยามหาเสนา พระยาสีหราชเดโชชัยตามไปทัน ก็ช่วยกันรบพุ่งแก้กันทั้งสองพระองค์ออกมาได้ สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นว่า กองทัพข้าศึกแตกเฉพาะทัพหน้า กำลังฝ่ายไทยที่ตามเสด็จไปถึงเวลานั้นมีน้อยนัก จึงจำต้องเสด็จกลับมาค่ายหลวง ฝ่ายข้าศึกก็เชิญพระศพพระมหาอุปราชา เลิกทัพกลับไปเมืองหงสาวดี

สามเกลอรีมิกซ์ - ทหารเสือพระนเรศวร (ตอนที่ 4 กลับบ้าน)
16
พระที่นั่งสรรเพชรปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวัง
เวลานั้น บรรดาแม่ทัพนายกองต่างหมอบราบลงต่อหน้าพระที่นั่งด้วยเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวในอาชญาภัย
"ข้าศึกยกมาถึงพระนคร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ตั้งพระทัยจะรักษาพระพุทธศาสนา และ สมณพราหมณาจารย์ อาณาประชาราษฎร มิได้คิดเหนื่อยยากลำบากพระองค์ ทรงพระอุตสาหะเสด็จยกพยุหโยธาทัพออกไปรณรงค์ด้วยข้าศึก และนายทัพนายกองกลัวข้าศึกยิ่งกว่าพระราชอาญา มิได้โดยเสด็จ พระราช ดำเนินให้ทัน ละแต่พระคชาธารสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ให้เข้าอยู่ท่ามกลางข้าศึกจนได้ กระทำยุทธหัตถีมีชัยแก่พระมหาอุปราชาเสร็จ โทษนายทัพนายกองทั้งนี้จะเป็นประการใด"
ภายในท้องพระโรงเงียบกริบราวกับไม่มีผู้คน พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเดชานุภาพทรงถอนพระทัยก่อนที่จะทรงพระดำรัสต่อ
"ผิดครั้งนี้พวกเจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าจะได้รับอาญาประการใด ข้านั้นคือผู้รักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฏมณเฑียรบาล ก็มออาจยกเว้นอาญาพวกเจ้าได้"
พระนเรศวรทรงกลั้นพระราชดำรัสนั้นไว้ ด้วยทรงมีพระสุรเสียงสั่นเครือ ทรงนิ่งอยู่ครู่ใหญ่
"ข้าจำเป็นต้องลงโทษเจ้าอย่างถึงที่สุด"
"ช้าก่อน มหาบพิตร"
เสียงหนึ่งก้องกังวานอยู่ที่ประตูปากทางเข้าท้องพระโรง บรรดาเหล่านายทหารเมื่อได้ยินเสียงนั้นต่างก็เงยหน้าขึ้นมา เมื่อและเห็นสมเด็จพระพนรัตน์แห่งวัดป่าแก้ว ต่างก็ถอนใจอย่างยินดี ด้วยว่าครั้งนี้พระต้องมาโปรดเป็นแน่แท้ ต่างพนมมือขึ้นแล้วกราบลงกับพื้นสามครั้ง สมเด็จพระนเรศวรเสด็จลงมาจากพระที่นั่งบรรยงรัตนาสถ์ เสด็จพระราชดำเนินมาหาพระภิกษุผู้อาวุโส
"นิมนต์ข้างในเถิดพระคุณเจ้า"
สมเด็จพระพนรัตน์ก้าวเดินด้วยความสำรวมผ่านเหล่าขุนทหารทั้งหลายก่อนที่จะหยุดนิ่งอยู่เบื้องหน้าที่ประชุมนั้น
"ดูกร มหาบพิตร"
"การณ์ที่พระองค์จระทรงพิโรธด้วยเหล่าบรรดาแม่ทัพนายกองเหล่านี้นั้น อาตมาก็เห็นด้วย เพียงแต่ว่า ในครั้งนี้มีเหตุอันเป็นสุดวิสัยที่จะตามพระองค์ท่านได้ทัน หากเหล่าแม่ทัพนายกองเหล่านี้มาทันมหาบพิตรแล้วไซร้ มีหรือที่ท่านจะได้กระทำยุทธหัตถีอันเกรียงไกรเยี่ยงนี้ มีหรือที่พระเดชานุภาพของพระองค์จะได้แผ่ไพศาลเยี่ยงนี้ ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณา อาตมภาพและบรรดามหาเถระที่มาด้วยทั้งสิ้นขอบิณฑบาตรชีวิตสัตว์ผู้ยากเหล่านี้ด้วยเถิด"

แดดร่มลมเย็นในบ่ายวันหนึ่ง เรือนของหลวงตั้งกระบังกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อเจ้าเรือนได้กลับมาคืนบ้าน รสมทั้งคณะพรรคด้วย เวลานี้หลวงตั้งกระบังนั่งอยู่บนตั่งตัวใหญ่ในเรือนต้นไม้ ท่านยิ้มแย้มอารมณ์ผ่องใสอย่างยิ่ง
"อ้ายกร ข้าอยากจะรู้นักว่า เจ้านั้นล่วงรู้เหตุการณ์ข้างหน้าได้อย่างไร ไฉนเจ้าจึงคาดเดาเเหตุการณ์ได้แม่นยำดังนั้น"
นิกรยิ้มแล้วคลานกระดุบกระดิบเข้ามาหาคุณหลวง นายจอมทะเล้นยกมือขึ้นมาบีบนวดท่านด้วยท่าทีประจบประแจง
"แฮ่ะ ๆ ก็ลูกช้างเคยบอกคุณพ่อไว้แล้วว่าลูกช้างเนี่ยเป็นแพทย์มองด้วยไงเล่าขอรับ"
คุณหลวงทำหน้าฉงน
"ฮะ อะไรของเจ้า แพทย์มอง"
"แพทย์ก็หมอ มองก็ดู แพทย์มองก็หมอดูไง่เล่าขอรับ"
คุณหลวงค้อนนิกรเสียวงใหญ่
"บอกว่าเป็นหมอดูเสียก็แล้วเรื่อง เอ้อ งั้นเจ้าลองทำนายสิว่า นับแต่นี้เบื้องหน้า กรุงศรีอยุธยาจะเป็นเยี่ยงไรต่อไป"
นิกรละมือจากการบีบนวดเอื้อมไปหยิบม้วนกระดาษยื่นให้คุณหลวง
"นี่ขอรับท่าน กระผมได้เขียนไว้แล้ว เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาขอรับท่าน ฝากอาศัยบารมีของท่านได้โปรดเผยแพร่ต่อไปให้ด้วยขอรับ"
คุณหลวงคลี่กระดาษม้วนนั้นออกมาอ่าน สักครู่ท่านก็ถามเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ด้วยความสงสัย
"เจ้าอู๊ด เภทภัยทั้งสิบหกประการดังที่เจ้ากรเขียนไว้นั่นเป็นจริงหรือไร เราจักมีทางแก้ไขได้หรือไม่"
"มีทางขอรับ" ท่านเจ้าคุณตอบ
"คำพยากรณ์ในนี้อาจจะไม่เป็นจริงก็ได้ถ้าหากคนไทยเราทั้งหมดรักใคร่สามัคคีกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่เห็นแก่พรรคพวกของตน ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่รักชาติเพียงแต่ลมปากแต่กระทำตนตรงข้ามกับิ่งที่พูด ฉันรับรองว่าเหตุการณ์ร้ายทั้งสิบหกประการจะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ขอรับ"
"เอาเถิด เช่นนั้นข้าจะเป็นธุระเผยแพร่เพลงยาวนี้ให้เอง"
พลคลานเข้ามาหาคุณหลวง
"ท่านขอรับ พวกกระผมได้มาอาศัยบุญบารมีของท่านล่วงมาจนวันนี้ก็เป็นเวลาเกือนสามปีแล้วมิได้ติดต่อกับทางบ้านเลย ป่านนี้ทางบางกอกก็คงจะร้อนใจว่าพวกกระผมจะเป็นตายร้ายดีประการใด เมื่อคืนนี้ก็ได้ปรึกษากันแล้วว่า จะขอลาท่านกลับไปบางกอกในเย็นวันนี้ขอรับ"
คุณหลวงพยักหน้าเบา ๆ
"เออ ข้าเสียดายฝีมือของพวกเจ้านัก แต่ข้าก็มิอาจจะห้ามเจ้าไว้ดอก หากเจ้าจะกลับ ก็ขอให้สวัสดีมีชัยทั่วหน้ากันเถิด"
คณะพรรคต่างก้มลงกราบคุณหลวงแล้วคลานออกไปจากเรือนต้นไม้ เย็นวันนั้น คุณหลวงตั้งกระบังได้มาส่งคณะพรรคลงเรือมาดแจวสามลำที่คลองฉะไกรน้อยหลังบ้าน คณะพรรคต่างร่ำลาด้วยความอาลัยอาวรณ์ เรือน้อยสามลำล่องออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาที่ปากคลองฉะไกรทางทิศใต้ พายเลาะขอบตลิ่งไปจนถึงป้อมเพชรแล้วตัดข้ามแม่น้ำมาถึงวัดพนัญเชิง ชั่วเลา 3 วันก็ล่องมาถึงบางกอก ดร.ดิเรกประกอบเครื่องย้อนเวลาเข้ากับแบตเตอรี่จานผีพาคณะพรรคกลับสู่ห้องทดลองดังเดิม ทิ้งเรื่องราวการผจญภัยอันสนุกสนานไว้ข้างหลัง คณะพรรคต่างสัญญากันว่าจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครรู้ เพราะเล่าไปก็ไม่มีใครเชื่อ
เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยายังถูกเผยแพร่ต่อมาจนถึงปัจจุบัน แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าผู้แต่งวรรณกรรมที่แท้จริงเป็นผู้ใด และกรุงศรีอยุธยาก็ล่มลงแล้วนับร้อยปี สมดังคำพยากรณ์นั้นจริง ๆ
สารสำคัญของการผจญภัยของคณะพรรคก็หมดสิ้นลงแต่เพียงเท่านี้
โดยคุณ : สมนึก สมนาค 415 - [ 24 ก.ค. 2002 , 22:33:36 น. ]

ตอบ
มาให้กำลังใจอะ
โดยคุณ : คุณท้าวจอมแก่น - [ 25 ก.ค. 2002 , 19:35:48 น.]

ตอบ
ยอดเยี่ยมมากเลยครับ คุณสมนึก แล้วแต่งมาให้อ่านอีก นะจ๊ะ...
โดยคุณ : หมูตกมัน - [ 26 ก.ค. 2002 , 16:04:08 น.]

ตอบ
ดี มากๆ สนุก มากๆ ครับ
โดยคุณ : พล_พัชราภรณ์ - [ 27 ก.ค. 2002 , 21:13:29 น.]

ตอบ
เจ๋งอะ แต่ไม่เฉลยเรื่องจานผีหน่อยเหรอ ว่าเป็นใคร
โดยคุณ : สุกรรามซิงค์ - [ 29 ก.ค. 2002 , 17:29:29 น.]

ตอบ
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจานผีมันควรจะเป็นใคร เขียนเองยังนึกไม่ถึงเลยครับ อิ อิ
โดยคุณ : สมนึก สมนาค 415 - [ 29 ก.ค. 2002 , 21:01:02 น.]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
ข้อความ




กรุณาคลิกที่ปุ่ม Post message เพียงครั้งเดียว 



All contents in this web site are intended for private use and educational purpose only. Our main objectives are to promote SamGler to cyberspace surfers and to memorize Por Intalapalit, one of the greatest writers in Thai fiction history.