สามเกลอรีมิกซ์ - ตอนตื่นเต้น( รึ เป่า หว่า)
Home Page
samgler connection members information discuss library misc. web board contact us

กระดานสนทนาสามเกลอ (Read Only)



สามเกลอรีมิกซ์ - ตอนตื่นเต้น( รึ เป่า หว่า)
11
คืนนั้นในขณะที่คณะพรรคต่างหลับไหล ดร.ดิเรกกับนิกรต่างก็ออกมานั่งที่แล่นชานนอกตัวเรือน นิกรกำลังแต่งเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาอย่างขมักเขม้น ส่วน ดร.ดิเรกกำลังคิดถึงเหตุนิมิตรครั้งที่สองตามที่ท่านเจ้าคุณเล่า เขากำลังสงสัยว่าหากเรื่องที่เล่าในพงศาวดารเป็นเรื่องจริง อะไรเล่าในสมัยอยุธยานอกจากนกกับว่าว อะไรเล่าที่มันจะลอยบนฟ้าได้อีก นายแพทย์หนุ่มนั่งถอนหายใจหลาย ๆ ครั้ง
"อ้ายกร"
เงียบไม่มีเสียงตอบ
"อ้ายกร"
ดิเรกเรียกซ้ำ นิกรก็ยังเงียบอยู่อีก จอมนักวิทยาศาสตร์ไทยหันมามองเพื่อนเกลอแล้วส่ายหัวไปมา เมื่อเห็นนิกรนอนหลับปุ๋ยบนกองกระดาษ ดิเรกหยิบแผ่นที่มีลายมือขยุกขยุยออกมาอ่าน

"จะกล่าวถึงกรุงศรีอยุธยา
เป็นกรุงรัตนราชพระศาสนา
มหาดิเรกอันเลิศล้น
เป็นที่ปรากฎรจนา
สรรเสิญอยุธยาทุกแห่งหน
ทุกบุรีสีมามณฑล
จบสกลลูกค้าวานิช
ทุกประเทศสิบสองภาษา
ย่อมมาพึ่งกรุงศรีอยุธยาเป็นอัคคนิษฐ์
ประชาราษฎร์ปราศจากภัยพิศม์
ทั้งความพิกลจริตแลความทุกข์
ฝ่ายองค์พระบรมราชา
ครองขันธสีมาเป็นสุข
ด้วยพระกฤษฎีกาทำนุก
จึงอยู่เย็นเป็นสุขสวัสดี
เป็นที่อาศัยแก่มนุษย์ในใต้หล้า
เป็นที่อาศัยแก่เทวาทุกราศี
ทุกนิกรนรชนมนตรี
คหบดีพราหมณพฤฒา
ประดุจดั่งศาลาอาศัย
ดั่งหนึ่งร่มพระไทรอันสาขา
ประดุจหนึ่งแม่น้ำพระคงคา
เป็นที่สิเนหาเมื่อกันดาร
ด้วยพระเดชเดชาอานุภาพ
อาจปราบไพรีทุกทิศาน
ทุกประเทศเขตขันธบันดาล
แต่งเครื่องบรรณาการมานอบนบ
กรุงศรีอยุธยานั้นสมบูรณ์
เพิ่มพูนด้วยพระเกียรติยศขจรจบ
อุดมบรมสุขทั้งแผ่นภพ
จนคำรบศักราชได้สองพัน
คราทีนั้นฝูงสัตว์ทั้งหลาย
จะเกิดความอันตรายเป็นแม่นมั่น
ด้วยพระมหากษัตริย์มิได้ทรงทศพิธราชธรรม์
จึงเกิดเข็ญเป็นมหัศจรรย์สิบหกประการ
คือเดือนดาวดินฟ้าจะอาเพท
อุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทิศาน
มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาล
เกิดนิมิตพิศดารทุกบ้านเมือง
พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก
อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง
ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมือง
ผีเมืองนั้นจะออกไปสู่ไพร
พระเสื้อเมืองจะเอาตัวหนี
พระกาลกุลีจะเข้ามาเป็นไส้
พระธรณีจะตีอกไห้
อกพระกาลจะไหม้อยู่เกรียมกรม
ในลักษณะทำนายไว้บ่ห่อนผิด
เมื่อวินิศพิศดูก็เห็นสม
มิใช่เทศกาลร้อนก็ร้อนระงม
มิใช่เทศกาลลมลมก็พัด
มิใช่เทศกาลหนาวก็หนาวพ้น
มิใช่เทศกาลฝนฝนก็อุบัติ
ทุกต้นไม้หย่อมหญ้าสารพัด
เกิดวิบัตินานาทั่วสากล
เทวดาซึ่งรักษาพระศาสนา
จะรักษาแต่คนฝ่ายอกุศล
สัปบุรุษจะแพ้แก่ทรชน
มิตรตนจะฆ่าซึ่งความรัก
ภรรยาจะฆ่าซึ่งคุณผัว
คนชั่วจะมล้างผู้มีศักดิ์
ลูกศิษย์จะสู้ครูนัก
จะหาญหักผู้ใหญ่ให้เป็นน้อย
ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ
นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย
น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม
ผู้มีตระกูลจะสูญเผ่า
เพราะจันฑาลมันเข้ามาเสพสม
ผู้มีศีลนั้นจะเสียซึ่งอารมณ์
เพราะสมัครสมาคมซึ่งมารยา
พระมหากษัตริย์จะเสื่อมสิงหนาท
ประเทศราชจะเสื่อมซึ่งยศถา
อาสัจจะเลื่องลือชา
พระธรรมาจะตกลึกลับ
ผู้กล้าจะเสื่อมใจหาญ
จะสาปสูญวิชาการทั้งปวงสรรพ
ผู้มีสินจะถอยจากทรัพย์
สัปบุรุษจะอับซึ่งน้ำใจ
ทั้งอายุศม์จะถอยเคลื่อนจากเดือนปี
ประเวณีจะแปรปรวนตามวิสัย
ทั้งพืชแผ่นดินจะผ่อนไป
ผลหมากรากไม้จะถอยรส
ทั้งแพทย์พรรณว่านยาก็อาเพศ
เคยเป็นคุณวิเศษก็เสื่อมหมด
จวงจันทน์พรรณไม้อันหอมรส
จะถอยถดไปตามประเพณี
ทั้งเข้าก็จะยากหมากจะแพง
สารพันจะแห้งแล้งเป็นถ้วนถี่
จะบังเกิดทรพิษมิคสัญญี
ฝูงผีจะวิ่งเข้าปลอมคน
กรุงประเทศราชธานี
จะเกิดการกุลีทุกแห่งหน
จะอ้างว้างอกใจทั้งไพร่พล
จะสาละวนทั่วโลกหญิงชาย
จะร้อนอกสมณาประชาราษฎร์
จะเกิดเข็ญเป็นอุบาทว์นั้นมากหลาย
จะรบราฆ่าฟันกันวุ่นวาย
ฝูงคนจะล้มตายลงเป็นเบือ
ทางน้ำก็จะแห้งเป็นทางบก
เวียงวังจะรกเป็นป่าเสือ
แต่สิงห์สาระสัตว์เนื้อเบื้อ
นั้นจะหลงเหลือในแผ่นดิน
ทั้งผู้คนสารพัดสัตว์ทั้งหลาย
จะสาปสูญล้มตายเสียหมดสิ้น
ด้วยพระกาลจะมาผลาญแผ่นดิน
จะสูญสิ้นการณรงค์สงคราม
กรุงศรีอยุธยาจะสูญแล้ว
จะลับรัศมีแก้วเจ้าทั้งสาม
ไปจนคำรบปีเดือนคืนยาม
จะสิ้นนามศักราชห้าพัน
กรุงศรีอยุธยาเขษมสุข
แสนสนุกยิ่งล้ำเมืองสวรรค์
จะเป็นเมืองแพศยาอาธรรม์
นับวันจะเสื่อมสูญ เอยฯ "*

(*เพลงยาวพยากร์กรุงศรีอยุธยา - วรรณกรรมไทยโบราณเชื่อว่าแต่งขึ้นในสมัยอยุธยา แต่ไม่ทราบว่าผู้แต่งคือผู้ใด กระผมก็เลยอุ๊บอิ๊บให้นิกรแต่งเสียเลย)
ประตูห้องเรือนนอนของคณะพรรคเปิดออก เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ก้าวข้าวธรณีประตูเดินออกมา
"อ้าว อ้ายกรกับไอ้หมออยู่ที่นี่เองพ่อลุกขึ้นมาเห็นหายไป ทำอะไรอยู่หรือลูกยังไม่นอนอีกหรือ"
ท่านเจ้าคุณเอ่ยทักลูกเขยของท่าน ความจริงแล้ว ท่านเจ้าคุณเมตตาปราณีเอ็นดูนิกรกับดิเรกเหมือนลูกในไส้ ถึงแม้ว่านิกรจะทะลึ่งตึงตังและดิเรกจะทำตัวเป็นฝรั่งจ๋าบ้างในบางครั้ง ท่านก็ไม่คิดเอามาเป็นอารมณ์
"อ๋อเป็นยังไม่นอนหรอกครับคุณพ่อ ผมกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่"
"คิดเรื่องอะไรอยู่ล่ะ เล่าให้พ่อฟังบ้างสิ"
ดร.ดิเรกยื่นกระดาษที่นิกรเขียนเอาไว้ให้ท่านเจ้าคุณอ่าน
"คุณพ่อเล่าเรื่องเหตุการณ์ตอนยุทธหัตถี หลังจากเกิดนนิมิตรที่คุณพ่อเล่าไว้เมื่อเย็นให้ฟังหน่อยสิครับ"
ท่านเจ้าคุณนั่งลงข้าง ๆ ดร.ดิเรก ผ่อนลมหายใจอย่างสบายอารมณ์ ทอดสายตาไปยังความมืดเบื้องหน้า
"เรื่องต่อมาเป็นอย่างนี้"
"เมื่อช้างพระที่นั่งของพระนเรศวรและพระเอกาทศรถได้ยินเสียงฆ้องกลองรบ และเสียงปืนที่ทั้งสองฝ่ายยิงต่อสู้กัน ก็เกิดคึกคะนองเพราะกำลังตกมัน แล้ววิ่งเข้าไปในหมู่ข้าศึก ควาญไม่สามารถคัดท้ายอยู่ บรรดาแม่ทัพนายกองและไพร่พลทั้งปวงตามเสด็จไม่ทัน พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นข้าศึกมีกำลังมากมาย ไม่เป็นทัพเป็นกอง จึงทรงไสช้างพระที่นั่งเข้าชนช้างข้าศึก เหล่าข้าศึกพากันระดมยิงอาวุธมา แต่ไม่ถูกช้างทรง แล้วตอนนั้นก็บังเกิดตะวันตลบมืด ท้องฟ้ามืดมิดราวกับไม่มีแสงตะวันจนมองไม่เห็นกัน สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นดังนั้น จึงได้ประกาศแก่เทวดา พระพรหมทุกชั้นฟ้า ถึงปณิธานของพระองค์ที่ได้มาสืบวงศ์กษัตริย์ และมุ่งหวังที่จะทำนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนา ทันใดนั้นก็บังเกิดพายุใหญ่พัดปั่นป่วนในท้องฟ้า สนามรบก็สว่างแจ้ง พระองค์แลไปเห็นนายทัพข้าศึก นั่งอยู่บนหลังช้างเผือกตัวหนึ่ง มีฉัตรกั้นอยู่ใต้ร่มต้นข่อย มีพล 4 เหล่า เรียงรายอยู่มากมาย ก็ทรงตระหนักแน่พระทัยว่าเป็นพระมหาอุปราชา"
"เดี๋ยวครับคุณพ่อ ยังมีเหตุมหัศจรรย์เกิดขึ้นอีกหรือครับ"
"ใช่แล้วลูก พงศาวดารบันทึกไว้อย่างนั้น พ่อว่าเชื่อถืออะไรไม่ได้หรอก"
นายณรงค์ฤทธิ์พยักหน้า
"ผมแค่เป็นคิดเล่น ๆ เท่านั้นนะครับว่า สมมุตติว่าเป็นเหตุการณ์ตามพงสาวดารเป็นเรื่องจริง ผมว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างเป็นซ่อนเงื่อนอยู่ในเหตุการณ์นั้นแน่ ๆ "
ท่านเจ้าคุณเลิกคิ้วมองนายแพทย์หนุ่มเป็นทำนองถาม
"อะไรหรือ"
"ไม่ทราบสิครับ แต่มันต้องมีอะไรแน่ ๆ"
12
เดือนอ้าย ปีมะโรง พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงให้มีท้องตรา เกณฑ์ทัพเพื่อไปตีเมืองเขมร กำหนดให้ยกทัพไปในเดือนยี่ พอมีท้องตราไปได้ 6 วัน ถึงวันขึ้น 12 ค่ำ เดือนยี่ ก็ได้รับใบบอกจากเมืองกาญจนบุรีว่า พระเจ้าหงสาวดีทรงให้พระมหาอุปราชา ยกกองทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ และได้ข่าวจากหัวเมืองเหนือว่า มีกองทัพข้าศึกยกลงมาอีกทางหนึ่ง
ด้วยพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ทรงพระราชดำริว่าข้าศึกยกลงมาสองทาง ถ้าปล่อยให้มาสมทบกันได้ ก็จะทำให้ข้าศึกมีกำลังมาก เมื่อกองทัพพระมหาอุปราชายกเข้ามาก่อน จึงจะต้องชิงตีให้แตกเสียก่อน เป็นการรวมกำลังเข้ากระทำการต่อข้าศึกเป็นส่วนๆ ไป
13
ขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. 2135 ทุ่งลุมพลี ชานพระนคร วันเคลื่อนทัพ
สมเด็จพระนเรศวรทรงทำพิธีฟันไม้ข่มนามเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยให้กับกองทัพของพระองค์ พระสงฆ์จากทั่วเขตเมืองอยุธยา ต่างสวดชัยมงคลคาถาดังกึกก้องท้องทุ่งกว้าง คณะพรรคในฐานะที่เป็นกองทหารกองหนึ่งในสังกัดของหลวงตั้งกระบังต่างประนมมือขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องคุ้งครอง เจ้าแห้วกำพระพวงใหญ่ที่แขวนไว้บนคอจบขึ้นเหนือหัวประหลก ๆ ดร.ดิเรกนั่งกระสับกระส่ายแหงนมองดูบนท้องฟ้าบ่อย ๆ
เมื่อเสร็จสิ้นพิธี สมเด็จพระนเรศวรและพระอนุชาเอกาทศรถ ได้เสด็จพระราชดำเนินขึ้นมายังเกยช้างเพื่อจะทรงประทับบนหลังพระคชาธาร เหล่าทหารทั้งหลายทั้งปวงต่างส่งเสียงถวายพระพรดังกึกก้อง เพราะทั้งสองพระองค์คือขวัยและกำลังใจของทวยทหารกล้า
ทันใดนั้นเอง บนท้องฟ้าก็ปรากฏดวงไฟกลมโตลอยสูงอยู่เบื้องบน แสงนวลของมันสว่างเท่ากับแสงพระอาทิตย์แต่ไม่มีความร้อนใด ๆ ผืนท้องทุ่งลุมพลีพลันสว่างเรืองรองขึ้นมากกว่าเดิม
กองทหารไทยต่างแหงยเงยหน้าไปมองท้องฟ้าแล้วก็ส่งเสียงอื้ออึง ตื่นเต้นในเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นบ้างก็ชี้มือชี้ไม้ บ้างก็ยกมือพนมขึ้นเหนือศรีษะ เจ้าคุณปัจจนึกยกมือขึ้นทาบอก
"อ้ายหมอ อ้ายหมอเอ๊ย พงศาวดารเขียนไว้เป็นเรื่องจริงเสียแล้วสิอ้ายหมอ มหัศจรรย์อะไรเช่นนี้"
พูดจบท่านก็ยกมือประนมขึ้นท่วมหัว พลกล่าวกับดิเรกอย่างเป็นงานเป็นการ
"ไม่น่าเชื่อเลย ที่เหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นได้ มหัศจรรย์มาก"
นายจอมนักวิทยาศาสตร์กล่าวกับพลในขณะที่ยังมองลูกไฟกลมดวงนั้น
"เยส ออไรท์พล มันอเมซซิ่งมาก ๆ เลย และที่น่าอเมซซิ่งมากกว่านี้ก็คือ ข้าจะบอกแก่พวกเราว่า ดวงไฟที่เราเห็นนั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากว่ามันคือพาหกาศของชาวต่างโลก"
"อ๋อย รับประทาน คุณหมอครับ คุณหมอหมายถึงจานผีหรือครับ โอ๊ยตายแหล่ว รับประทาน นี่นอกจากเราจะรบกับพม่าแล้ว เรายังต้องรบกับพวกมนุษย์จานผีนี่ด้วยหรือครับ แล้วเรามีแต่อีดาบกับปืนใหญ่ รับประทาน เราจะเอาไรไปสู้กับมันล่ะครับ"
พูดจบเจ้าแห้วก็ปลุกพระที่คอเป็นการใหญ่
"ไม่หรอกเจ้าแห้ว ถ้าพงศาวดารบันทึกเอาไว้ถูกต้องตามที่เราเห็นอยู่อย่างนี้ เราไม่ได้รบกับมนุษย์จานผีหรอก แต่ถ้าเป็นไปตามที่ข้าคาดเดาตามที่คุรพ่อตาของข้าเล่าเอาไว้ให้ฟัง จานผีมันจะต้องมาปรากฏตัวอีกครั้งในวันทำยุทธหัตถีอีกแน่ ๆ "
ลูกไฟดวงกลมโตที่ลอยอยู่สูงสุดฟ้า หมุนวนทักษิณาวัตรเป็นวงรอบใหญ่ 3 รอบ ก่อนที่จะบินลับหายไปทางทิศเหนือ กองทัพไทยเปล่งเสียงไชโยให้กับนิมิตรที่เป็นมงคล แต่ ดร.ดิเรกกลับไชโยให้กับตัวเอง เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้
โดยคุณ : สมนึก สมนาค 415 - [ 23 ก.ค. 2002 , 22:24:59 น. ]

ตอบ
แหะๆ มาให้กำลังใจอะ
โดยคุณ : คุณท้าวจอมแก่น - [ 24 ก.ค. 2002 , 7:22:26 น.]

ตอบ
เจ๋งนะ
โดยคุณ : สุกรรามซิงค์ - [ 24 ก.ค. 2002 , 13:38:24 น.]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
ข้อความ




กรุณาคลิกที่ปุ่ม Post message เพียงครั้งเดียว 



All contents in this web site are intended for private use and educational purpose only. Our main objectives are to promote SamGler to cyberspace surfers and to memorize Por Intalapalit, one of the greatest writers in Thai fiction history.