สมาเกลอรีมิกซ์ (ยังไม่จบง่าย ๆ )
Home Page
samgler connection members information discuss library misc. web board contact us

กระดานสนทนาสามเกลอ (Read Only)



สมาเกลอรีมิกซ์ (ยังไม่จบง่าย ๆ )
- สามเกลอรีมิกซ์ - ทหารเสือพระนเรศวร (ตอนที่ 3 สงครามยุทธหัตถี)
- 10 -
เดือนอ้าย ปีมะโรง พ.ศ. 2135
หลังสงครามครั้งนั้น กรุงศรีอยุธยาว่างเว้นสงคราม ถึงวันนี้ก็เป็นเวลาเกือบ ๆ จะ 2 ปี วันหนึ่ง ดร.ดิเรกก็หยิบเอาเครื่องมือย้อนเวลาออกมาซ่อมแซม คณะพรรคนั่งล้อมวงมองเครื่องมือย้อนเวลาที่ยังไม่สามารถซ่อมได้ นาน ๆ ครั้งก็มีใครสักคนหนึ่งถอนหายใจดัง ๆ สักที ดร.ดิเรกกล่าวกับคณะพรรคว่า
"ผมยังมองไม่เห็นทางว่าผมจะซ่อมมันได้ยังไง ดูตามวงจรแล้ว มันก็ไม่มีอะไรเสียแน่ ๆ"
พลจับเครื่องมือพลิกไปพลิกมาดูอยู่ชั่วครู่แล้ววางลง
"แบตเตอรี่มันหมดหรือเปล่าวะอ้ายหมอ"
"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เออ หรือจะใช่"
นายแพทย์หนุ่มแกะถ่านไฟฉายออกมา นิกรหัวเราะกลิ้งไปมา
"นั่นไงอ้ายหมอ ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดเสียแล้ว ข้าว่าตอนที่มันแช่น้ำอยู่นั้นมันยังไม่เสียอะไรหรอก เอาออกมาตากแดดพักเดียวมันก็ใช้ได้แล้ว นี่เราปล่อยไว้จนถ่านมันบวมอืดน้ำเยิ้มอย่างนี้ แล้วจะกลับกันอย่างไรเล่าทีนี้ ป่านนี้เมียไม่ร้องไห้ขี้มูกโป่งกันแล้วรึ"
"ออไรท์ พวกเรามัวแต่เพลิดเพลินกับการฝึกทหารทำสงครามกันไป เลยทิ้งเครื่องนี้ไว้จนถ่านหมด"
นายแพทย์หนุ่มเห็นด้วยกับนิกร
“ใจจริงข้าเองก็อยากกลับบ้านเหมือนกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้ทางบ้านเราจะเป็นอย่างไรบ้าง ที่เราหายตัวมาเป็นเวลานานเป็นปีอย่างนี้” นายพัชราภรณ์เอ่ยกับนายแพทย์หนุ่ม
“ทางบ้านเราเป็นยังไม่รู้หรอก เพราะว่าถ้าเราซ่อมเครื่องมือวิเศษนี้และกลับไปได้ ไอจะตั้งวันเวลาให้ตรงกับวันเวลาที่เราเป็นเดินทางมาเท่ากับว่า เราไม่ได้ไปไหนกันเลย”
ท่านเจ้าคุณยิ้มอย่างโล่งใจ
“ถ้าอย่างนั้นพ่อก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่งในข้อนี้ แต่อีกใจหนึ่ง พ่อนั้นชักจะติดใจกรุงศรีอยุธยานี่เสียแล้วสิ ไม่อยากกลับเสียแล้ว”
“ใช่ครับคุณอา” อ้ายเสือรูปหล่อกล่าวเสริม
“หากไม่มีศึกสงคราม ผมว่าในยามสงบ กรุงศรีอยุธยานี่ก็คือสวรรค์เราดี ๆ นี่เอง เออ นี่เห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านจะยกทัพไปตีเขมร อ้ายพวกนี้คบไม่ได้มาตั้งแต่โบราณแล้ว เห็นเราอ่อนแอก็แอบมาตีกวาดต้อนเอาคนของเราไปเรื่อย เห็นว่าไทยเข้มแข็งขึ้น รบชนะพม่าทุกครั้งจะรีบเข้ามาขอเป็นไมตรีกับไทย แต่พอเห็นพระเจ้านันทบุเรง ยกกองทัพใหญ่เข้ามาล้อมกรุงศรีอยุธยา เขมรคาดว่าไทยจะสู้พม่าไม่ได้ ก็หันกลับไปสู่พฤติกรรมเดิม ฉวยโอกาสยกกำลังเข้ามาโจมตีไทยอีก คนไทยเราต้องสามัคคีกันไว้ให้มาก ๆ ม่ายงั้นเสียทีต่างชาติอยู่เรื่อยไป”
“เราน่าจะเตือนชาวกรุงศรีนี้ไว้บ้างนะครับในเรื่องความสามัคคี”
นิกรกล่าวกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ
“นั่นสิเจ้ากร แต่เราจะเตือนเขาตรง ๆ ก็คงจะไม่ดีแน่นอน เจ้ามีความสามารถทางดูหมอไม่ใช่รึ ลองเขียนคำพยากรณ์เตือนใจเขาบ้าง ทำทีเป็นทำนายดวงเมืองอะไรอย่างนี้น่ะ”
“ผมจะลองดูนะครับคุณพ่อ อาจจะเขียนเป็นกลอนพูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้เขาได้อ่านกัน เผื่อว่าเขาจะได้สะกิดใจบ้าง”
นายจอมทะเล้นกล่าวอย่างเป็นงานเป็นการ
"เออคุณพ่อครับ แล้วเหตุการณ์ต่อจากนี้ กรุงศรีอยุธยาจะเกิดอะไรขึ้นอีกครับ"
ดร.ดิเรกเอ่ยถามเจ้าคุณปัจจนึก ฯ
"จากนี้น่ะรึ จากนี้ก็เป็นสงครามใหญ่อีกครั้งหนึ่งน่ะสิ"
อาเสี่ยยื่นหน้าเข้ามาแทบจะชิดหน้าเจ้าคุณ
"สงครามอะไรครับคุณอา"
ท่านเจ้าคุณยกมือยันหน้ากิหงวนออกไปให้ห่าง
"ถามห่าง ๆ ก็ได้ไอ้เวร ยื่นหน้าเข้ามาเสียใกล้เชียว เหม็นขี้ฟันเหลือเกิน"
"แฮ่ะ ... ผมก็เหม็นเขียวเหมือนกันครับ"
ท่านเจ้าคุณทำคอย่น
"เอ๊ะ อ้ายนี่ ยั่งอารมณ์กันแต่วันเลยนะมึง เดี๋ยวปั๊ด"
อาเสี่ยยกมือไหว้ประหลก ๆ ท่านเจ้าคุณหันกลับไปพูดกับคณะพรรค
"สงครามใหญ่ครั้งนี้ ก็คือสงครามยุทธหัตถีไงล่ะ นี่เป็นสงครามครั้งสำคัญที่จะจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ เอ้อ...มีเกร็ดพงศาวดารจะเล่าให้ฟัง อยากฟังไหมล่ะ"
คณะพรรคส่งเสียงอยากฟังดังเซ็งแซ่ โดยเฉพาะกิมหงวนส่งเสียงเหมือนเด็กนักเรียนเวลาดีใจที่ครูจะเล่านิทานให้ฟัง
"พงศาวดารเขียนเอาไว้ว่า ขณะเมื่อสมเด็จพระนเรศวร ประทับอยู่ที่ค่ายหลวง ตำบลมะขามหวาน ก่อนวันที่จะเสด็จยกกองทัพไปเมืองสุพรรณบุรี ในตอนกลางคืน พระองค์ทรงพระสุบินว่า มีน้ำท่วมป่า หลากมาแต่ทางทิศตะวันตก พระองค์เสด็จลุยน้ำไปพบจรเข้ใหญ่ตัวหนึ่ง ได้เข้าต่อสู้กัน ทรงประหารจรเข้นั้นสิ้นชีวิตด้วยฝีพระหัตถ์ สายน้ำนั้นก็เหือดแห้งไป ทรงมีรับสั่งให้โหรทำนายพระสุบินนั้น พระยาโหราธิบดีกราบทูลพยากรณ์ว่า เสด็จไปคราวนี้จะได้รบพุ่งกับข้าศึก เป็นมหายุทธสงคราม ถึงได้ทำยุทธหัตถีและจะมีชัยชนะข้าศึก"
แล้วท่านก็สะดุ้งเมื่อหันมาเห็นเจ้าแห้วนั่งฟังอ้าปากหวอ
"เฮ้ยอ้ายแห้ว แมลงวันบินเข้าปากแล้ว"
เจ้แห้วเมื่อรู้ตัวก็รีบหุบปากลงทันที
"รับประทาน เกร็ดพงศาวดารที่ท่านเล่าให้ฟัง รับประทาน มหัศจรรย์จริง ๆ ครับ"
ท่านเจ้าคุณอมยิ้ม
"ยังมีอีกเรื่องนะ มีเรื่องของศุภนิมิตครั้งที่สองที่ได้กล่าวไว้ในที่บางแห่งว่า เมื่อใกล้ฤกษ์ยกทัพ สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ เสด็จไปยังเกยทรงช้างพระที่นั่งตามพิชัยฤกษ์นั้น พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุ ขนาดเท่าผลส้มเกลี้ยง"
นิกรกับอาเสี่ยหัวเราะกิ๊ก
"เท่าผลอะไรนะครับ" อาเสี่ยถามกลั้วหัวเราะ
"ผลส้มเกลี้ยง"
"ผลอะไรนะครับ"
"เอ๊ะก็บอกว่าผลส้มเกลี้ยงไงเล่าโว้ย"
นิกรหัวเราะงอหาย
"แล้วมันเกลี้ยงมากไหมครับ"
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ นึกเอะใจว่าโดนนายจอมทะเล้นกับอาเสี่ยหลอกกินฟรีอีกแล้ว จึงเอื้อมมือจิกผมสองเกลอดึงอย่างแรง
"โอ๊ย ... อ๋อย ... กลัวแล้วจ้ากลัวแล้ว โอ๊ย แว้ก หนังหัวหลุดแล้วจ้าโอ๊ย"
ท่านเจ้าคุณจับสองหัวโขกกันดังโป๊กจนหนำใจแล้วจึงปล่อยมือ
"นี่ จำไว้ โทษฐานชอบล้อเกี่ยวกับกระบาลของข้านัก ฮึ่ม"
นิกรเอามือกุมหัวป้อย ๆ
"กูเลยลืมเลยว่าเล่าถึงตอนไหนแล้ว"
อาเสี่ยมหวานบอกว่า
"ถึงตอนผลส้มโกร๋นแล้วครับ"
ท่านเจ้าคุณสะดุ้งเฮือกแต่อาเสี่ยเผ่นแผล็วหลบออกไปแล้ว
"เออ ก็มีพระบรมสารีริกธาตุ ขนาดเท่าผลส้ม ... ง่า ... ผลส้มเกลี้ยง ... ส่องแสงเรืองอร่าม ลอยมาในท้องฟ้าทางทิศใต้ แล้วลอยวนรอบกองทัพไทย เป็นทักษิณาวัตรสามรอบ จากนั้นจึงลอยขึ้นไปทางทิศเหนือ สมเด็จพระนเรศวร และพระอนุชาทรงปิติยินดีตื้นตันพระราชหฤทัยยิ่งนัก ทรงนมัสการและอธิษฐานให้ พระบรมสารีริกธาตุนั้น ปกป้องคุ้มครองกองทัพไทย ให้พ้นอันตรายจากผองภัยทั้งมวล"
ดร.ดิเรกเอ่ยขึ้นมากลางที่ประชุม
"เรื่องฝันนั้น ฝรั่งว่ามันก็อาจจะเป็นไปได้ แต่เรื่องเห็นพระบรมสารีริกธาตุเป็นลอยได้ ไม่น่าเชื่อ หรือว่าไงพล"
พลพยักหน้า
"กันก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เรื่องอย่างนี้ก็ต้องฟังหูไว้หู มันอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ ใครจะไปรู้"
คณะพรรคนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จู่ ๆ กิมหงวนก็ตะโกนขึ้นมาทำลายความเงียบ
“โว้ยยยยยยยยยยย”
คณะพรรคสะดุ้งโหยงหันหน้าไปมองกิมหงวนเป็นตาเดียว
“อยากกินเหล้าโว้ยยยยยยยยยยย”
สิ้นคำคณะพรรคก็ฮือไปที่ห้องเก็บไหเหล้าใต้ถุนเรือนอย่างรวดเร็ว บ่าวไพร่ต่าง ๆ ในบ้านไม่มีใครกล้าห้ามเพราะหลวงตั้งกระบังสั่งเอาไว้ว่าให้คณะพรรคกินเหล้าของท่านได้ตลอดเวลา
11
คืนนั้นในขณะที่คณะพรรคต่างหลับไหล ดร.ดิเรกกับนิกรต่างก็ออกมานั่งที่แล่นชานนอกตัวเรือน นิกรกำลังแต่งเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาอย่างขมักเขม้น ส่วน ดร.ดิเรกกำลังคิดถึงเหตุนิมิตรครั้งที่สองตามที่ท่านเจ้าคุณเล่า เขากำลังสงสัยว่าหากเรื่องที่เล่าในพงศาวดารเป็นเรื่องจริง อะไรเล่าในสมัยอยุธยานอกจากนกกับว่าว อะไรเล่าที่มันจะลอยบนฟ้าได้อีก
โดยคุณ : สมนึก สมนาค 415 - [ 22 ก.ค. 2002 , 22:10:22 น. ]

ตอบ
อั๊วะะะะะะะะะะะะะะะะะ !!!!!!!!
โอ๊กกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!
หิวเหล้าน่อ!!!!!!!!!!!!!!!!!
โดยคุณ : ขุนดามกระบัง - [ 23 ก.ค. 2002 , 2:33:22 น.]

ตอบ
อิๆเป็นกำลังใจให้ครับ
โดยคุณ : cpheil - [ 23 ก.ค. 2002 , 17:27:40 น.]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
ข้อความ




กรุณาคลิกที่ปุ่ม Post message เพียงครั้งเดียว 



All contents in this web site are intended for private use and educational purpose only. Our main objectives are to promote SamGler to cyberspace surfers and to memorize Por Intalapalit, one of the greatest writers in Thai fiction history.