สามเกลอรีมิกซ์ (ตอนเกือบจบ)
Home Page
samgler connection members information discuss library misc. web board contact us

กระดานสนทนาสามเกลอ (Read Only)



สามเกลอรีมิกซ์ (ตอนเกือบจบ)
พระนครศรีอยุธยา พุทธศักราช 2133 ปีขาล
หลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเสร็จสิ้นลง สมเด็จพระนเรศวรได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 18 แห่งกรุงศรีอยุธยา *(ในการนี้ไม่นับขุนวรวงศาธิราชที่ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์) คณะพรรคของเราได้อาศัยอยู่ที่บ้านของหลวงตั้งกระบังมาเป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้ว ดร.ดิเรกก็ยังไม่สามารถซ่อมเครื่องมือย้อนเวลากลับได้ แต่กระนั้นเหล่าคณะพรรคก็หาได้เดือดเนื้อร้อนใจอันใดไม่ เนื่องจากมีที่อยู่อาศัยและอาหารการกินพร้อมมูล กรุงศรีอยุธยานับว่าเป็นราชธานีที่อุดมสมบูรณ์ไม่น้อย ครั้งหนึ่งนายพัชราภรณ์เคยบ่นกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ หรือเจ้าอู๊ดว่าเสียดายบ้านเมืองที่สวยงาม หากไม่ได้เสียเมืองให้พม่าในครั้งหลัง น่าจะยังสวยงามอยู่ไม่น้อย ท่านเจ้าคุณได้แต่ห้ามปรามไม่ให้คณะพรรคพูดเรื่องเสียกรุงครั้งที่ 2 นี้อีก เกรงว่าจะมีใครได้ยินเข้า
หลังจากการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ก่อนแล้ว บ้านเมืองก็เริ่มได้ยินเสียงประโคมดนตรีและมหรสพการละเล่นอยู่เป็นเนืองนิตย์ คณะพรรครวมทั้งเจ้าแห้วได้เข้าร่วมฝึกอาวุธทั้งดาบ หอก ทวน ขอ ง้าวจนชำนาญ ท่านเจ้าคุณของเราได้เป็นผู้ฝึกวินัยทหารใหม่ ท่านใช้วิธีการทหารของยุครัตนโกสินต์มาสอนทหารอยุธยาจนเข้มแข็ง พลเอาวิชายูโด ญูยิตสู มาสอนเพิ่มเติมให้กับกองทหาร จึงทำให้ทหารไทยนอกจากจะเก่งทางอาวุธแล้ว การต่อสู้ป้องกันตัวแบบมวยไทยและมวยปล้ำก็ยังหาตัวจับยากอีก นิกรนั้นแนะนำวิชาการออกกำลังแบบใหม่มาสอนจนทหารกรุงศรีอยุธยามีร่างกายแข็งแก่งกำยำนอกจากนั้นนิกรยังตั้งตนเป็นหมอดูเที่ยวทำนายชะตาราศีผิดบ้างถูกบ้างมั่วไปหมด วันดีคืนดีก็สอนทหารร้องรำทำเพลงหลังจากที่ซ้อมเพลงอาวุธมาจนเหน็ดเหนื่อย กิมหงวนนั้นสอนวิชามวยจีนและนอกจากนั้นยังบำเพ็ญตนเป็นพ่อค้าเซ็งลี้รับข้าวเปลือกจากชาวนานอกเขตกำแพงเมืองมาสีแล้วส่งขายให้พ่อค้าที่ปากคลองข้าวสาร หารายได้เข้าบ้านหลวงตั้งกระบังเสียจนมากมายในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ดร.ดิเรกใช้วิชาความรู้ด้านแพทย์สมุนไพรบวกกับความรู้แพทย์แผนใหม่รักษาทหารและประชาชนในกำแพงเมืองจนเป็นที่รักใคร่ของประชาชน เพราะนายแพทย์หนุ่มไม่เคยคิดอัฐค่ารักษาเลย เพียงแต่ผู้ใดที่หายป่วยแล้วก็ให้ไปเก็บหาสมุนไพรที่ใช้รักษาตัวเองเอามาคืนก็พอ เจ้าแห้วทำหน้าที่เป็นลูกมือต้มยาให้ ดร.ดิเรก บางครั้งตัวยาต้องเข้ากับเหล้าโรง เจ้าแห้วต้องออกไปซื้อเหล้าที่โรงเหล้ามาเตรียมไว้ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องการใช้เหล้าที่ซื้อมาก็หายไปหมดทุกที และทุกครั้งก็จะเห็นนิกรกับกิมหงวนเมาแอ๋อยู่ใต้ถุนเรือนทุกคราว
เย็นวันหนึ่ง หลวงตั้งกระบังก็เข้ามาแจ้งข่าวกับคณะพรรคว่า
"ออเจ้าทั้งหลาย นี่แน่ะ ข้ามีข่าวมาแจ้งแก่ท่าน"
"ท่านมีเรื่องอะไรให้พวกกระผมรับใช้หรือครับ" พลกล่าวกับคุณหลวงอย่างนอบน้อม
"หามิได้ดอกเจ้าพล คือเรื่องมีดังนี้ พ่ออยู่หัวท่านมีพระราชบัณฑูรสั่งให้บรรดาเหล่าขุนทหารทั้งหลายเข้าเฝ้าเป็นการด่วนในวันพรุ่งนี้ ข้าก็ตั้งใจว่าจะนำพวกออเจ้าได้เข้าเฝ้าท่านด้วย ข้าคิดว่า น่าจะมีการสงครามขึ้นอีกแน่นอน มิฉะนั้นท่านไม่ทรงเรียกประชุมด่วนเช่นนี้ดอก"
เหล่าคณะพรรคมีความปลาบปลื้มที่จะได้เข้าวังหลวงและได้เข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ที่จะทรงได้เป็นมหาราชในวันข้างหน้า

พระที่นั่งสรรเพชรปราสาท ภายในพระบรมหาราชวังวันนี้คราคร่ำไปด้วยขุนทหารน้อยใหญ่ คณะพรรคและเจ้าแห้วได้มีโอกาสเข้าไปนั่งหมอบกราบอยู่ในนั้นด้วย คณะพรรคมีท่าทีตื่นเต้นไม่น้อย
"คุณอาครับ" พลกล่าวขึ้นเบา ๆ กับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ
"นี่เรามีโอกาสอย่างที่คนอื่นไม่มีเลยนะครับ ในการที่เรามีโอกาสได้มานั่งอยู่ในสถานที่อันเป็นประวัติศาสตร์อย่างนี้จริง ๆ"
"อย่าว่าแต่เจ้าเลยที่ตื่นเต้นนะเจ้าพล อาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยเหมือนกัน เล่าให้ใครฟังใครเขาจะเชื่อนี่"
เสียงเป่าแตรสังข์มโหระทึกดังก้องกังวาลมาจากด้านนอกปราสาท เสียงจ้อกแจ้กต่าง ๆ ก็เงียบลง ร่างกำยำในเครื่องทรงกษัตริย์กำลังเสด็จพระรราชดำเนินขึ้นไปประทับบนพระที่นั่งบรรยงค์รัตนนาสน์ ที่ตั้งอยู่บนมุขกลางของพระที่นั่งสรรเพชรปราสาท ขุนทหารทั้งหลายต่างประนมมือถวายบังคมและกล่าวถวายพระพรโดยพร้อมเพรียงกัน สมเด็จพระนเรศวร ทรงเปล่งพระสุรเสียงก้องกังวานไปทั้งท้องพระโรง
"พวกเจ้าเหล่าขุนทหารทั้งหลาย ข้าไดรับข่าวจากกองราชตระเวณแจ้งมาว่า บัดนี้ พระเจ้านันทบุเรงแห่งเมืองหงสาเกตุมวดี กำลังจะกรีธาทัพจำนวนสองแสนคน โดยให้พระยาพสิม พระยาภุกามเป็นกองหน้า พระมหาอุปราชาเป็นกองหลวง เข้ามาจู่กรุงศรีของเราอีก ด้วยเห็นว่าเราเพิ่งผลัดบ้านเมือง ยังคงอ่อนแอระส่ำระสาย ทั้งเรายังแข็งเมืองไม่ขึ้นตรงต่อมันดังเช่นเมื่อก่อนทำให้หัวเมืองอื่น ๆ กระด้างกระเดื่องตาม หงสาวดีจะออกเดินทัพในวันแรม 12 ค่ำ เดือน 12 นี้และจะมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ด้วยว่าจะเดินทางได้เร็วกว่า เพียง 15 วันก็จะถึงพระนคร และคิดว่าเราจะไม่ทันเตรียมตัว การศึกในครั้งนี้ เราจะไม่ยั้งทัพรอท่าในกำแพงเมืองดังเช่นทุกครั้ง แต่เราจะไปตั้งทัพรออยู่ที่เมืองสุพรรณบุรี ทัพเราจะออกไปในเดือนยี่นี้ ขอเจ้าทั้งหลายจงเตรียมทหารของเจ้าให้พร้อมเพรียง"
สิ้นพระสุรเสียงพระองค์ทรงเสด็จลงจากพระที่นั่งและเสด็จพระราชดำเนินออกไปทางพระทวารด้านขวาในมุขกลาง คณะพรรคเมื่อถวายบังคมแล้วก็พากันหมอบคลานออกมาจากพระที่นั่งสรรเพชรปราสาท
นิกรกล่าวขึ้นว่า
"แหม ข้านี้มันเมื่อยขบเหลือเกิน อยากออกไปรบกับพวกพม่าให้มันหายเมื่อยสักที เอ็งอยากไปไหมอ้ายเสี่ย"
อาเสี่ยดึงแว่นตาขอบกระออกมา
"ข้าก็เหมือนกันอ้ายกร อยากจะรู้นักว่าพม่ามันจะเก่งกว่าเราสักเท่าไหน ข้าจะฆ่ามันให้เกลี้ยงให้โกร๋นทีเดียว" พูดจบกิมหงวนก็ลอยละลิ่วไปข้างหน้าด้วยแรงถีบจากเจ้าคุณปัจจนึก ฯ
"นี่แน่ะเกลี้ยง นี่แน่ะโกร๋น พวกเอ็งนี่เมื่อไหร่จะเลิกยุ่งเกี่ยวกับหัวข้าสักทีวะ หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ยังจะมาล้อเล่นกันอยู่ได้" ท่านหันมาหาคุณหลวงตั้งกระบังที่นั่งอยู่บนเสลี่ยงคานหาม
"นี่เราจะทำอย่างไรกันต่อดีขอรับท่าน"
"เห็นทีเราต้องเตรียมทหารของเราให้พร้อมกว่านี้ ทางร่างกายนั้นเราแกร่งอยู่พอเพียงแล้ว ทางจิตใจนั้น ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่ามันจะฮึกเหิมสักเพียงไหน ข้าอยากให้พวกเจ้าช่วย"
นิกรรีบวิ่งเข้ามาหาหลวงตั้งกระบังทันที
"อันนี้ไว้เป็นธุระพวกกระผมเถิดขอรับ รับรองว่าทหารของเราจะต้องฮึเหิมอย่างไม่น่าเชื่อ จะรบอย่างไม่กลัวตาย รบไปร้องเพลงไป ขนาดถูกฟันคอขาดแล้วยังยิ้มเผล่เลย กระผมรับรอง"
หลวงตั้งกระบังยิ้มให้นิกร
"เอาเถิด ถ้าพวกเจ้ารับอาสาข้าก็จะให้พวกเจ้าทำ ข้าเห็นฝีมือพวกเจ้ามาแล้ว ข้าไว้ใจ ขอให้ทำเถิด หากสงครามครั้งนี้เราเป็นฝ่ายชนะ พวกเจ้าจะได้จารึกชื่อว่าเป็นวีรบุรุษ"
นิกรยิ้มอย่างอมภูมิแล้วกล่าวว่า
"ศึกครั้งนี้เราชนะแน่ขอรับท่าน"
หลวงตั้งกระบังเลิกคิ้วอย่างสงสัย
"เจ้ารู้ได้อย่างไร การศึกยังไม่เกิดขึ้นเลย"
"ท่านอย่าลืมสิครับว่ากระผมน่ะเก่งทางหมอดูด้วยนะขอรับ ศึกครั้งนี้เราชนะแน่ และเราก็จะเสียไพร่พลน้อยด้วย ส่วนศึกครั้งหลังจากนี้จะเป็นศึกใหญ่ยิ่งกว่า และเราก็จะชนะอย่างยิ่งใหญ่ด้วยไม่เชื่อท่านก็คอยดูไป"
หลวงตั้งกระบังหันมาถมท่านเจ้าคุณ
"มันดูแม่นกระนั้นเจียวรึเจ้าอู๊ด"

- 8 -

จากวันที่ได้เข้าเฝ้า กองทหารของกรุงศรีอยุธยาก็เริ่มมีเสียงเพลงดังกระหึ่มขึ้นทุกวัน โดยมีนิกรเป็นต้นเสียงแจ๋ว ๆ อยู่ทุกเช้า
"กระเทือนทั่วผืนดิน เลือดรินชโลมทาง เหล่าวีรชนห้าวหาญนักรบชาวไทย
พ่อกูหัวใจแกร่งป้องแดนด้วยใจกายแม่กูสู้เคียงถวายแม้ตายไม่เกรง
ชาติยังไม่สิ้นชนคนยังไม่สิ้นใจ จะให้กูไปไหนขอตามจองเวร
ไล่ไปผู้รุกรานฆ่ามันไม่เหลือเดน อย่ามาให้เจอให้เห็นต้องเซ่นสังเวย

ศึกรบเพื่อชาติพลี มอบวิญญาณดวงนี้เพื่อผืนดินไทย
ห่วงรักเจียนขาดใจ จำตัดไปแม้อาจต้อง ตายวันนี้ก็พร้อม
ศึกรบเพื่อชาติพลี มอบวิญญาณดวงนี้เพื่อผืนดินไทย
ห่วงรักเจียนขาดใจ จำตัดไปแม้อาจต้อง ตายวันนี้ก็พร้อม

อดีตยังฝังตราตรึงคำนึงถึงบุญคุณ ชาติไทยไม่เคยดับสูญเทิดทูนบรรพชน
กู่ก้อง ระบือไกล สถิตในหัวใจคน ลูกหลานจะดำรงให้คงสถาพร
สัตย์ปฏิญาณมั่นไว้ เพื่อไทยยืนยง" *

เพลงนี้พล นิกร กิมหงวนและดร.ดิเรกช่วยกันแต่งขึ้นมา และซ้อมร้องให้กับกองทหารทุกเช้ากาอนที่จะทำการซ้อมเพลงอาวุธ โดยคณะพรรคต่างก็แยกย้ายกันไปสอนทหารกองต่าง ๆ บัดนี้ทหารไทยนับแสนคนร้องเพลงนี้เป็นหมดแล้ว กลายเป็นเพลงฮิตของอยุธยาในยามนี้
หลวงตั้งกระบังเดินออกมาที่กลางลานฝึก มองดูกองทหารอย่างพึงพอใจ
"เจ้าอู๊ด ลูกหลานของพวกเจ้านี่ทำให้ข้ามีความสุขไม่น้อย ข้าไม่เคยเห็นกองทหารของเราเข้มแข็งทั้งกายทั้งใจเยี่ยงนี้เลย อ้ายกรนี่ถึงแม้มันจะดูอ้อนแอ้นดังพระเอกลิเก แต่มันก็เก่งกล้าเป็นผู้นำได้อย่างไม่น่าเชื่อ ข้าฟังเพลงที่มันร้องแล้วข้าขนลุกไปทั้งตัว"
"คุณหลวงขนลุกเพราะตื่นเต้นกระมัง" เจ้าคุณเอ่ยถาม
"นั่นก็ใช่ แต่ที่ข้าขนลุกตอนนี้เพราะข้าปวดท้องทุ่งเหลือเกิน" หลวงตั้งกระบังกล่าวหน้าตาเฉย
ท่านเจ้าคุณหัวเราะคิก
"งั้นก็ขอเชิญคุณหลวงไปทุ่งให้เรียบร้อยก่อนเถิดขอรับ อั้นไว้นานไม่ดี ประเดี๋ยวจะเป็นพรรดึกเอา เดือดร้อนอ้ายเหรกมันอีก"
หลวงตั้งกระบังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะกระโดดขึ้นม้าแล้วเหยาะย่างออกไป ท่านเจ้าคุณมองตามไปจนลับสายตาพลางคิดในใจว่า สงสัยคุณหลวงจะติดโรคทะลึ่งมาจากเจ้าสี่เกลอนี้แล้วแน่ ๆ

( * เพลง "เลือดไทย" คำร้อง/ทำนอง/ขับร้อง ชิตพงษ์ ตรีมาศ ประกอบละครโทรทัศน์เรื่อง "อตีตา" ช่อง 7 สี)

- 9 -

เดือนยี่ปี พศ.2133
กองทัพหลวงแห่งกรุงศรีอยุธยาเดินทัพมาถึงแขวงเมืองสุพรรณบุรีแล้ว พลลาดตระเวณเข้ามาแจ้งข่าวว่ากองทัพพระมหาอุปราชามาถึงเมืองกาญจนบุรีแล้วเช่นกัน สมเด็จพระนเรศวรทรงวางแผนให้ซุ่มทัพหลวงไว้ที่ลำน้ำบ้านคอย แล้วแต่งกองทัพน้อย ทำทีเหมือนว่าจะให้ไปรักษาเมืองกาญจนบุรีเพื่อลวงและล่อข้าศึก คณะพรรครับอาสาไปกับกองทัพน้อย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้หลวงตั้งกระบังคุมทัพไป
เช้าวันต่อมา กองทัพน้อยเริ่มออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน กองทัพน้อยกองนี้ดูท่าจะไม่เป็นระเบียบนัก เมื่อมีสี่สหายร่วมมาด้วย นิกรกับกิมหงวนรำป้ออยู่หน้าแถว
"โอละเห่ โอละหึก ตื่นดึก ๆ ทำขนมดึก ๆ" นิกรแหกปากร้องเพลงนำ
ท่านเจ้าคุณรีบห้าม
"เฮ้ย ๆ เพลงนี้ห้ามโว้ย เดี๋ยวจะมีการรบกันเสียเองก่อน เอาเพลงอื่นสิวะ"
"แหม คุณพ่อนี่เพลงไหนก็ห้าม อ้ายหงวน เรามาร้องลำตัดปลุกใจกันดีไหมวะ"
อาเสี่ยพยักหน้ารับ
"เอาสิไอ้กร พวกเราทั้งสี่คนนี่ด้วยแหละร้องกันให้หมดเลย ให้พวกทหารนี่เป็นลูกคู่ดีไหมล่ะ"
แล้วนิกรก็ขยับเสียงโก่งคอ
"...กองทัพอโยธยา ดุ่ม ๆ เดินมาไม่เจอพม่าสักที
กองทัพอโยธยา ดุ่ม ๆ เดินมาไม่เจอพม่าสักที
สงสัยมันจะหงอ เอ๊ย สงสัยมันจะหงอ
ถ้าเจอะจอขอเตะตูดมันสักที
เป๊กพ่อ
กองทัพอโยธยา ดุ่ม ๆ เดินมาไม่เจอพม่าสักที
กองทัพอโยธยา ดุ่ม ๆ เดินมาไม่เจอพม่าสักที
สงสัยมันจะหงอ เอ๊ย สงสัยมันจะหงอ
ถ้าเจอะจอขอเตะตูดมันสักที..."

นายพัชราภรณ์เดินเข้ามาขอร้องเป็นคนแรก

"...เดินทางมากลางเถื่อนเรามีเพื่อนก็มากหลาย ล้วนแต่เป็นผู้ชายที่ใจรักในศักดิ์ศรี
ทิ้งทั้งแม่ลูกเมียเสียเอาไว้ในเมืองกรุง แล้วเดินทางอย่างมั่นมุ่งหวังจะรุ่งทางต่อตี
สองมือเรากำดาบจะเอาไปปราบศัตรู จะเป็นจะตายหรือจะอยู่ก็ยังไม่รู้อยู่ดี
รู้อย่างเดียวคือต้องสู้เพื่อกู้เกียรติคืนมา เกียรติที่พวกพม่ามันบีฑาย่ำยี
สองพันหนึ่งร้อยสิบสองที่เราต้องเจ็บจำ เราต้องตอกต้องย้ำเราต้องจำมันไว้ให้ดี
เสียสิ้นกรุงอยุธยาดังเสียฟ้าเสียดิน เสียไปจนหมดสิ้นจนไม่เหลือชิ้นดี
ลูกหลานไทยเจ้าจงจำ เอ่อ เอ้อ เอิง เอิง เงิง เงย ถึงในความขมขื่น
มีแผ่นดินให้เรายืนนั่นสิเป็นของดี
เป๊กพ่อ
กองทัพอโยธยา ดุ่ม ๆ เดินมาไม่เจอพม่าสักที
กองทัพอโยธยา ดุ่ม ๆ เดินมาไม่เจอพม่าสักที
สงสัยมันจะหงอ เอ๊ย สงสัยมันจะหงอ
ถ้าเจอะจอขอเตะตูดมันสักที..."

นิกรวิ่งมาข้างหน้าเพื่อร้องบ้าง

" ... สองพันหนึ่งร้อยสิบสองที่เราต้องจดจำ เอาไว้ทุกคืนค่ำเจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี
เราต้องเสียแผ่นดินเสียสิ้นอยุธยา ญาติพงศ์วงษาก็ถูกฆ่าเสียมากมี
ลุจนสองหนึ่งสองเจ็ดทรงเสด็จดำเนินการ หลั่งทักษิโณธารประกาศอิสระภาพพิธี
ณ ตำบลเมืองแกลงที่แสดงเอาไว้ให้เห็น เราจะไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นหงสาวดี
ก่อร่างสร้างตนจนพ้นเภทภัย พวกพม่าหวังเป็นใหญ่ก็ยังไล่ต่อตี
สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นควรเข้าต่อศึก ส่งทหารใจเหิมฮึกเข้าสู้ศึกลองฤทธี
ลุเดือนยี่ปีสองหนึ่งสามสามพระทรงนำเข้าสมร หวังจะได้รานรอนกับพวกหมู่ไพรี
เข้ามาถึงสุพรรณแล้วด้นดั้นถึงเมืองกาญน์ ทรงแยกกองทหารเป็นทัพน้อยอีกที
ทำว่าเป็นกลลวงไปล่อปวงข้าศึก ให้มันเข้าใจนึกว่ามีทัพอยู่เพียงนี้
เดี๋ยวจะได้เห็นกัน เอ่อ เอ้อ เอิง เอิง เงิง เงย ว่าเป็นมันหรือเป็นเรา
ที่จะต้องโศกเศร้า เอากำลังเข้าต่อตี
เป๊กพ่อ
กองทัพอโยธยา ดุ่ม ๆ เดินมาไม่เจอพม่าสักที
กองทัพอโยธยา ดุ่ม ๆ เดินมาไม่เจอพม่าสักที
สงสัยมันจะหงอ เอ๊ย สงสัยมันจะหงอ
ถ้าเจอะจอขอเตะตูดมันสักที..."

กิมหงวนวิ่งเป็นงิ้วเข้ามาหน้าแถว

" ... เอ๊ย...ทำว่าเป็นกลลวงไปล่อปวงข้าศึก ให้มันเข้าใจนึกว่ามีทัพอยู่เพียงนี้
ตามแผนของเราทัพใหญ่เฝ้าที่บ้านคอย แล้วเอากองทัพน้อยมาล่อลวงไพรี
ถ้าเจอกันเมื่อใดจะแกล้งให้ว่าเป็นพ่าย แล้วรีบหนีกระจัดกระจายให้วุ่นวายจแจ
ล่อไปท่าน้ำบ้านคอยที่ทัพใหญ่คอยตีกระหนาบ เท่านี้มันก็ราบไม่มีทางได้ถอยหนี
แต่ตอนนี้มันอยู่ไหน เอ่อ เอ้อ เอิง เอิง เงิง เงย หรือเราไปผิดทาง
เอ๊ะหรือคุณหลวงตั้งกระบังจะบอกทางไม่ดี
เป๊กพ่อ
กองทัพอโยธยา ดุ่ม ๆ เดินมาไม่เจอพม่าสักที
กองทัพอโยธยา ดุ่ม ๆ เดินมาไม่เจอพม่าสักที
สงสัยมันจะหงอ เอ๊ย สงสัยมันจะหงอ
ถ้าเจอะจอขอเตะตูดมันสักที..."

เหล่าพลทหารหัวเราะกันยกใหญ่ด้วยไม่มีใครกล้ายั่วเย้านายทหารใหญ่เหมือนคณะพรรค หลวงตั้งกระบังเองถึงแม้จะถูกเย้าแต่ก็ไม่ได้ถือสา คิดเสียว่าเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กองทหารของท่าน ตอนนี้ดิเรกก็ออกมาร้องบ้าง
" ... แต่ตอนนี้เราอยู่ไหนเป็นไอก็ไม่รู้ รู้แต่ทั้งไอทั้งยูเป็นอยากจะเจอมันเสียที
ท่านมหาราชาเคยกล่าวไว้ว่าในการสงคราม หากว่าใครเพลี่ยงพล้ำมันก็ต้องแพ้ทุกที
สยามเราวางแผนอย่างเหนียวแน่นและแนบเนียน อย่างไม่เคยมีเรียนในพิชัยสงครามวิธี
ทั้งกลลวงกลล่อเพื่อเป็นต่อเหนือศัตรู ไม่ให้มันล่วงรู้แต้มคูที่เรามี
วันนี้เราต้องมาวินจะได้กลับไปกินข้าวปลา ว่าแล้วก็หิวจริง ๆ พับผ่า พม่าไม่มาสักที
เราจะได้รู้กัน เอ่อ เอ้อ เอิง เอิง เงิง เงย มันจะต้องพ่ายแพ้
ทหารเราแน่ไม่ยอมแพ้ไพรี
เป๊กพ่อ
กองทัพอโยธยา ดุ่ม ๆ เดินมาไม่เจอพม่าสักที
กองทัพอโยธยา ดุ่ม ๆ เดินมาไม่เจอพม่าสักที
สงสัยมันจะหงอ เอ๊ย สงสัยมันจะหงอ
ถ้าเจอะจอขอเตะตูดมันสักที..."

สิ้นเสียงร้องของดิเรก ที่ราวป่าข้างหน้าก็มีเสียงเอะอะดังลั่น กองทัพพม่าโผล่ออกมา เหล่าศัตรูของแผ่นดินนับแสนวิ่งกันฝุ่นตลบไปหมด หลวงตั้งกระบังสั่งกองทหารให้ถอยให้เร็วที่สุด มุ่งตรงไปยังจุดนัดพบที่ท่าน้ำบ้านคอย คณะพรรคที่ตอนแรกอยู่ข้างหน้าก็วิ่งย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว มีเพีงเจ้าแห้วคนเดียวที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่พร้อมถือดาบสองมือยืนจังก้าหันหน้าเข้าหาศัตรู ท่านเจ้าคุณตะโกนเรียกดังลั่น
"อ้ายแห้ว กลับมาเร็ว มึงคนเดียวเอาไม่อยู่หรอก ไม่ต้องทำกล้า"
เจ้าแห้วร้องคราง
"อ๋อย รับประทาน อ้ายแห้วไม่ได้กล้า แต่มันก้าวขาไม่ออกขอรับ"
พลรีบวิ่งตื๋อกลับมากระชากแขนเจ้าแห้ว เมื่อได้สติกลับคืนเจ้าแห้วก็โกยหน้าตั้งอย่างรวดเร็ววิ่งนำแม้กระทั่งม้าของหลวงตั้งกระบัง
กองทัพหน้าของพระมหาอุปราชาเมื่อเห็นกองทัพน้อยก็เข้าโจมตี กองทัพล่อแกล้งทำสู้ไปไม่ถอยหนีลงมา กองทัพหลวงข้าศึกก็ไล่ติดตามมา เมื่อมาถึงพื้นที่ที่ซุ่มทัพของสมเด็จพระนเรศวร พระองค์ให้กองทัพที่ซุ่มอยู่ออกโจมตีทัพพม่าพร้อมกัน ได้รบกันถึงขั้นตะลุมบอน กองทัพข้าศึกก็แตกพ่าย ถูกกองทัพไทยฆ่าฟันล้มตายเป็นอันมาก พระยาพุกามแม่ทัพหน้าพม่าตายในที่รบ กองทัพไทยไล่ติดตามและจับพระยาพสิมแม่ทัพหน้าของพม่าอีกคนหนึ่งได้ ที่บ้านจรเข้สามพัน ทัพหน้าของข้าศึกแตกหนีไปปะทะทัพหลวง ทำให้ทัพหลวงแตกไปด้วย ครั้งนั้น ไทยเกือบจะจับพระมหาอุปราชาได้ พระมหาอุปราชาหนีกลับไปถึงหงสาวดี

"กระเทือนทั่วผืนดิน เลือดรินชโลมทาง เหล่าวีรชนห้าวหาญนักรบชาวไทย
พ่อกูหัวใจแกร่งป้องแดนด้วยใจกายแม่กูสู้เคียงถวายแม้ตายไม่เกรง
ชาติยังไม่สิ้นชนคนยังไม่สิ้นใจ จะให้กูไปไหนขอตามจองเวร
ไล่ไปผู้รุกรานฆ่ามันไม่เหลือเดน อย่ามาให้เจอให้เห็นต้องเซ่นสังเวย

ศึกรบเพื่อชาติพลี มอบวิญญาณดวงนี้เพื่อผืนดินไทย
ห่วงรักเจียนขาดใจ จำตัดไปแม้อาจต้อง ตายวันนี้ก็พร้อม
ศึกรบเพื่อชาติพลี มอบวิญญาณดวงนี้เพื่อผืนดินไทย
ห่วงรักเจียนขาดใจ จำตัดไปแม้อาจต้อง ตายวันนี้ก็พร้อม

อดีตยังฝังตราตรึงคำนึงถึงบุญคุณ ชาติไทยไม่เคยดับสูญเทิดทูนบรรพชน
กู่ก้อง ระบือไกล สถิตในหัวใจคน ลูกหลานจะดำรงให้คงสถาพร
สัตย์ปฏิญาณมั่นไว้ เพื่อไทยยืนยง" *

เสียงเพลงเลือดไทยดังก้องสมรภูมิ กองทัพไทยเดินทางกลับมากรุงศรีอยุธยาอีกครั้งพร้อมกับชัยชนะที่มีเหนือทัพหงสาวดี พระมหาอุปราชาหนีทัพที่แตกพ่ายกลับไปยังหงสาวดีได้เมื่อเดือน 5 ปี เถาะ พศ.2134 ทำให้พระเจ้านันทบุเรงทรงขัดเคืองมาก สั่งลงอาญาแม่ทัพนายกองและภาคทัณฑ์พระมหาอุปราชาไว้ โดยจะให้แก้ตัวใหม่ในการสงครามครั้งหน้า
( * เพลง "เลือดไทย" คำร้อง/ทำนอง/ขับร้อง ชิตพงษ์ ตรีมาศ ประกอบละครโทรทัศน์เรื่อง "อตีตา" ช่อง 7 สี)
โดยคุณ : สมนึก สมนาค 415 - [ 21 ก.ค. 2002 , 20:46:14 น. ]

ตอบ
อยากรู้เหมือนกันนิว่าจบยังไง
โดยคุณ : cpheil - [ 23 ก.ค. 2002 , 17:39:48 น.]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
ข้อความ




กรุณาคลิกที่ปุ่ม Post message เพียงครั้งเดียว 



All contents in this web site are intended for private use and educational purpose only. Our main objectives are to promote SamGler to cyberspace surfers and to memorize Por Intalapalit, one of the greatest writers in Thai fiction history.