สามเกลอรีมิกซ์ตอนต่อมา (เอาจริงแล้วนะเนี่ย)
Home Page
samgler connection members information discuss library misc. web board contact us

กระดานสนทนาสามเกลอ (Read Only)



สามเกลอรีมิกซ์ตอนต่อมา (เอาจริงแล้วนะเนี่ย)
- 2 -

เจ้าแห้วหอบหิ้วถุงใส่เสื้อผ้าพะรุงพะรังเดินเข้ามาในห้องทดลองแล้ววางลงบนพื้นห้องพลางปาดเหงื่อบนใบหน้า
"รับประทาน หายากเสียเหลือเกินครับ ไปหาที่ไหน ๆ ก็ไม่มี ต้องออกไปที่มีนบุรีนู่นแน่ะครับ รับประทาน ชาวนาแถวนั้นยังพอมีเสื้อผ้าอยู่บ้าง แต่เป็นเสื้อผ้าเก่า ๆ ใช้แล้วทั้งนั้นครับ ออกจะมีกลิ่นบ้าง แต่รับประทานไซต์ขนาดอาเสี่ยกับท่านเจ้าคุณรับประทานหายากเหลือเกินครับ ชาวนาไทยหาตัวสูง ๆ หรืออ้วน ๆ ไม่มีเลย มีแต่พวกผอมแห้งแรงน้อยทั้งนั้นเลยครับ"
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ พยักหน้าหงึก ๆ หันมาพูดกับลูกเขยคนเล็ก
"ก็น่าจะเป็นอย่างที่เจ้าแห้วว่านั่นแหละ ชาวนาไทยแต่ไหนแต่ไรมา ปลูกข้าวเลี้ยงคนทั้งประเทศ แต่ตัวเองไม่เคยรวยสักที พ่อว่าเจ้าน่าจะคิดสร้างเครื่องมืออะไรที่มันช่วยชาวนากระดูกสันหลังของชาติไทยเราได้บ้างนะ"
ดร.ดิเรกก้มศรีษะรับ
"ออไร๋ท์ ถูกต้องแล้วครับคุณพ่อ ผมเองก็เป็นคิดเรื่องนี้ไว้นานแล้ว ชาวนาไทยกับชาวนาอินเดียไม่แตกต่างกันเลย ครั้งหนึ่งท่านมหาราชา....."
"พอ พอเลยไอ้หมอ" อาเสี่ยกิมหงวนร้องขัดขึ้น
"วันไหนไม่ได้พูดถึงท่านมหาราชานี่ท้องจะขึ้นหรือไงวะ"
"ขอพูดสักหน่อยไม่ได้หรือ มันเปรี้ยวปาก"นายแพทย์หนุ่มต่อรอง
"ไม่ได้เว้ย" อาเสี่ยตวาดแว๊ด
อ้ายเสือรูปหล่อมองไปที่ประตูห้องทดลอง
"นี่อ้ายกรมันยังไม่มาอีกหรือ นัดแล้วเหลวเป็นประจำ" นายพัชราภรณ์ส่ายหัวอย่างอิดหนาระอาใจ เพียงสิ้นคำพูดก็ได้ยินเสียงร้องลิเกแจ๋วมานอกห้อง

"กระดิ่งทองจำต้องเดินทาง ถึงคราวเหินห่างแม่ยาฉุน
ต้องไปกู้กรุงศรี ขอลาคนดีแก้มละมุน
ลาก่อนหนาวันนี้ ไว้บ้านเมืองดีจะรีบมาขอแม่คุณ
เตร๊ง เตรง เตร่ง เตร๊ง เตรง เตร่ง เตร๊ง เตรง เตรง"

แล้วกระดิ่งทองก็เบรคพรืดอยู่หน้าห้อง เมื่อพบสายตาที่จ้องมาที่เขาอย่างไม่พอใจ นายกระดิ่งทองยิ้มเรี่ยราดมองคนโน้นทีคนนี้ที ก่อนยกมือไหว้ท่านเจ้าคุณ
"เอ้อ ง่า เกล๊ากระหม่อมขอประทานอภัยพระทุทธเจ๊าข้า แฮ่ะ ๆ เมื่อคืนล่อพล่ากุ้งหนักไปหน่อย วันนี้มันเลยถ่ายท้องพระพุทธเจ้าข้า"
"เร็ว ๆ เข้าไอ้เปรต ชักช้าอยู่คนเดียวนี่แหละ"
"ขอร้าบ เสด็จพ่อ" นายการุณวงศ์ยังทำหน้าทะเล้นอีกตามเคย เจ้าคุณปัจจนึก ฯ หันไปพูดกับนายแพทย์หนุ่ม
"ดิเรกเอ๊ย พ่อว่า ปี พศ.2112 นั่นมันเป็นสงครามใหญ่เชียวนา พ่อว่า หากไปในปีนั้นมันจะอันตรายมากนะลูก พ่อว่า เราเดินหน้าไปอีกสัก 10 - 20 ปีดีกว่ามั้งลูก หรือเจ้าจะว่าอย่างไร"
นายแพทย์หนุ่มพยักหน้า
"ออไรท์ ผมก็คิดไว้เช่นกัน เราน่าจะเดินหน้าไปอีกสักยี่สิบปีดีกว่าครับ ประมาณ พศ.2133 ดีไหมครับ"
"เอ ว่าแต่ว่าตอนนั้นน่ะบ้านเมืองเราเป็นอย่างไรแล้ว" อาเสี่ยถามอย่างเป็นงานเป็นการ
จอมนักวิทยาศาสตร์แหงนหน้าหัวเราะอย่างท่านักเรียนนอก แล้วกล่าวว่า
"กันก็ไม่รู้เหมือนกัน ถามประวัติศาสตร์อินเดียดีกว่า รับรองตอบได้หมด มหาราชาองค์ไหนทำอะไรกันตอบได้หมดแหละ" นายณรงค์ฤทธิ์ตอบหน้าตาเฉย เจ้าคุณปัจจนึก ฯ กล่าวขึ้นอย่างระอาใจ
"นี่แหละข้อเสียของคนไทยเราหละ เราไม่เคยจดจำประวัติศาสตร์ของเราเลย เราไม่เคยจดจำความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ทุกวันนี้มันถึงยังทำผิดซ้ำซากอยู่อย่างนี้เรื่อยไป"
"ใช่แล้วครับคุณพ่อพูดถูกต้อง" นายแพทย์หนุ่มกล่าวเสริม
"เมื่อคราวผมไปยังอนาคต ปรากฏว่าเมืองไทยของเราแม้ว่ายังมีเอกราชอยู่ แต่ก็เป็นหนี้ต่างชาติอย่างมหาศาลทีเดียว เพราะความที่ไม่เคยจดจำสิ่งที่เคยผิดพลาดในอดีต อีกทั้งยังโกงบ้านกินเมืองกันอย่างหน้าตาเฉยทีเดียว ซ้ำร้ายพวกโกงบ้านเมืองก็ยังเชิดหน้าชูคอในสังคมอย่างไม่สะทกสะท้านเสียอีก"
คณะเดินทางย้อนอดีตต่างนำเอาสัมภาระต่าง ๆ เดินเข้าไปรวมกันใต้ครอบแก้วขนาดยักษ์ทีถูกยกขึ้นสูงกว่าพื้น ดร.ดิเรกเดินไปยังแผงควบคุมกดปุ่มต่าง ๆ ดูวุ่นวายไปหมด แล้วหันมายิ้มกับคณะพรรค
"ออไรท์ อีกภายในไม่เกิน 10 นาทีเราจะสลายร่างเพื่อเดินทางสู่อดีตในปี พศ.2133 ขอให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม" พูดจบนายแพทย์หนุ่มพูดพลางเดินเข้ามารวมกับคณะพรรคในครอบแก้วขนาดใหญ่ อีกสักครู่หลอดแก้วก็ค่อย ๆ เลื่อนลงมา เจ้าแห้วล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อหยิบพระเครื่องที่ห้อยคอออกมากุมไว้ในมือ เมื่อเห็นร่างกายของตัวเองค่อย ๆ ใสเป็นกระจกขึ้นเรื่อย ๆ
"อ๋อย รับประทาน คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วยเถิดเพี้ยง"
นิกรสะกิดแขน ดร.ดืเรกเบา ๆ
"เฮ้ยอ้ายหมอ หยุดเครื่องก่อนได้ไหมวะ ข้าไม่ไหวแล้ว"
นายแพทย์หนุ่มถามเพื่อนเกลอด้วยความเป็นห่วง
"เป็นอะไรไปอ้ายกร ตัวสั่นเชียว"
"... ข้า ..." ร่างของแต่ละคนเริ่มใสขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบมองไม่เห็น
" ... ข้าปวดท้องทุ่งว่ะ ... "
สิ้นเสียงของนายจอมทะเล้น ร่างของคณะเดินทางก็กลายหายเป็นอากาศธาตุไปหมด คงเหลือให้แลเห็นบริเวณที่นิกรยืนอยู่เท่านั้น ที่แลเห็นเป็นก้อนเหลือง ๆ จาง ๆ ก่อนที่จะหายตามไปด้วยกัน

- 3 -

บ่ายคล้อยของหน้าแล้งปี พศ.2133 บริเวณตำบลบางกอก เมืองท่าปากน้ำของกรุงศรีอยุธยา ร่างของคณะเดินทางย้อนเวลาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนหนองน้ำแห่งหนึ่ง
"เฮ้ย ไอ๊หยา อ้ายหมอ ไหงพวกเรามาโผล่ในหนองน้ำอย่างนี้เล่าโหวย" อาเสี่ยร้องโวยวาย เจ้าคุณปัจจนึก ฯ หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
"ก็นี่แหละโว้ยอ้ายเสี่ย สมัยอยุธยาน่ะ เมืองบางกอกเป็นเมืองท่าปากน้ำติดทะเล เป็นที่ราบลุ่มที่น้ำทะเลท่วมถึง นี่คงจะเป็นช่วงน้ำทะเลหนุนละสิท่าถึงได้ท่วมขึ้นมาอย่างนี้"
นายแพทย์หนุ่มส่งเสียงจิ๊กจั๊ก
"แหม ผมก็ลืมนึกไปนะครับคุณพ่อว่าในอดีตนั้นบริเวณนี้เป็นเมืองท่า เราก็เลยลงมาอยู่ในน้ำครึ่งเอวอย่างนี้" แล้วนายแพทย์หนุ่มก็ทำตาเหลือก
"เฮ้ย อ้ายกร ทำไมแกถึงจมน้ำถึงคออย่างนั้นเล่า"
อ้ายเสือมือกาวยิ้มแห้งแล้งก่อนที่จะค่อย ๆ ยืดตัวลุกขึ้น
"ก็ข้าบอกแล้วว่าให้แกหยุดเครื่องก่อนแกก็ไม่หยุด ข้าทนปวดท้องทุ่งไม่ไหวก็เลยนั่งยอง ๆ ปล่อยลงน้ำไปแล้ว อีกสักครู่มันคงจะลอยขึ้นมาให้ชมเป็นขวัญตาเป็นแน่"
"ยี้"
คณะเดินทางต่างแตกฮือ ออกห่างจากนิกรเหมือนผึ้งแตกรัง
"อ้ายกรนี่ แกมักจะทำอะไรรุ่มร่ามเสมอ" พลกล่าวอย่างระอาใจ
"เราเดินขึ้นไปบนที่ดอนก่อนเถอะ แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน ขืนไปในชุดรัตนโกสินตร์อย่างนี้ ผู้คนคงแตกตื่นมามุงดูเราเป็นแน่ เอ ทำไมบ้านเมืองมันสงบเงียบดีจัง" นายพัชราภรณ์ตั้งข้อสังเกตุ

คณะเดินทางค่อย ๆ เดินขึ้นมาบนดินดอนริมหนองน้ำ ต่างผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดชาวนาเก่า ๆ ดร.ดิเรกอุทานขึ้นมาเบา ๆ
"เสร็จกัน"
"อะไรรึ ใครเสร็จใครกัน" เจ้าคุณปัจจนึก ฯ หันมาถามนายแพทย์หนุ่ม
"ก็เครื่องย้อนเวลากลับน่ะสิครับ เป็นจมน้ำเมื่อสักครู่นี้ แย่แล้ว วงจรภายในมันอาจจะช็อตเสียแน่เลย" คณะพรรคเดินทางย้อนเวลาต่างเข้ามามุงดูอุปกรณ์เล็ก ๆ ในมือ ดร.ดิเรกต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าวิตกกังวล
"ผมว่า เราอาจจะต้องอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาไปตลอดชีวิตแน่เลย" ดร.ดิเรกกล่าวเบา ๆ
อาเสี่ยทำปากแบะคล้ายจะร้องไห้
"โธ่ นวล นวลของเฮีย ก่อนมาเฮียยังไม่ทันสั่งเสียอะไรเลย สงสัยป่านนี้คงจะมีผัวใหม่ไปแล้วซะก็ไม่รู"
"เฮ้ย" นายพัชราภรณ์ตวาด
"อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปก่อนสิวะ ข้าว่าอ้ายหมอมันคงจะหาทางซ่อมได้อยู่หรอก"
นายแพทย์หนุ่มยิ้มกริ่มทำท่าผึ่งผาย
"ออไรท์ แน่นอน เพราะข้าเก่งทางด้านนี้อยู่แล้วพวกเราก็รู้ คร้งหนึ่งมหาราชาระพินทร์..."
"ยี้....." คณะเดินทางต่างร้องยี้อีกครั้งหนึ่ง
"ยังตามมารังควาญอีกนะท่านมหาราชา" นายพัชราภรณ์กล่าวปนหัวเราะ

เจ้าคุณปัจจนึก ฯ และคณะพรรคพากันเดินทางออกมายังหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น มากนัก เพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลกก็เข้ามาถึงยังเขตหมู่บ้าน

พลถามชายคนหนึ่งที่เดินสวนทางมา
"พี่ชาย ๆ พวกเราจะไปกรุงศรีอยุธยา จะไปทางไหนได้"
ชายคนนั้นหยุดมองคณะพรรคชั่วครู่เมื่อพินิจว่าเป็นคนไทยแน่แล้วจึ่งเอ่ยว่า
"หากพ่อจักเดินไปก็กินเวลาชั่วเดือนหนึ่ง หากจะพายเรือไปในเพลาน้ำขึ้น ก็อาจจะใช้เวลาเพียงกึ่งหนึ่งก็เถิงพระนครแล้ว"
นายพัชราภรณ์ยิ้มแล้วถามต่อ
"ถ้างั้น พวกฉันจะหาเรือได้จากไหนล่ะพี่ชาย"
ชายหนุ่มชี้มือไปที่บ้านกระต๊อบหลังเล็ก ๆ
"นั่นแหละพ่อเอ๊ย บ้านเฒ่าอู๊ด ช่างต่อเรือนั่น"
นิกรหัวเราะก๊าก
"บ้านใครนะพี่ชาย"
"บ้านเฒ่าอู๊ด"
นิกรหัวเราะจนตัวโคลงไปมา
"เฒ่าอู๊ดที่ตัวอ้วน ๆ หัวล้าน ๆ หรือเปล่า"
ชายหนุ่มพยักหน้า
"ใช่แล้วพ่อ เอ้อ " ชายหนุ่มเหลือบตาไปมองท่านเจ้าคุณที่ยืนหน้าตาถมึงทึง
"เหมือนพ่อลุงคนนี้เลยเชียว เพลาไปซื้อเรือจากเฒ่าอู๊ดนั้น พ่อลุงอย่าเข้าไปด้วยเชียวนา แกโกรธตายเชียว หาว่าไปทำหัวล้านล้อแกเข้า พาลฉวยมีดดาบไล่ฟันเอา"
คณะพรรคหัวเราะครืน เจ้าคุณปัจจนึก ฯ พยายามข่มใจกัดฟันกรอด ๆ กล่าวกับชายหนุ่มว่า
"เอาเถิดพ่อ ชอบใจ ฉันเองก็ไม่ใคร่ชอบให้ใครพาดพิงถึงกบาลฉันเหมือนกัน"

อาเสี่ยเดินเข้าไปที่บ้นเฒ่าอู๊ดเพื่อซื้อเรือ ได้เรือมาดแจวมาสามลำโดยเอาทองที่ติดตัวมาแลกกับเรือ เฒ่าอู๊ดดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อรับทองจากอาเสี่ย พลางตะโกนว่าจะได้มีเมียกันก็คราวนี้แหละ ด้วยอัธยาศัยไมตรีแกจึงเชื้อเชิญให้คณะพรรคเข้ามาดื่มน้ำ แต่พอแลเห็นเจ้าคุณปัจจนึก ฯ เข้า แกก็เปลี่ยนใจไม่ให้เข้ามาแล้วปิดประตูบ้านไปเลย

- 4 -

เรือมาดแจวสามลำเลาะริมตลิ่งทวนน้ำเจ้าพระยาขึ้นมายามเมื่อน้ำขึ้น ทำให้ไม่หนักแรงเท่าไหร่นักชั่วเวลา 10 วันก็มาถึงกรุงศรีอยุธยา คณะพรรคจอดเรือไว้ที่ตีนท่าน้ำวัดพนัญเชิง แล้วขึ้นไปสักการะหลวงพ่อโตในวิหารใหญ่ริมน้ำ ก่อนที่จะมานั่งริมฝั่งวัดพนัญเชิงมองไปที่เกาะเมืองด้านหน้าที่มองเห็นอยู่ไกล ๆ คนละฝั่ง เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ชี้ให้ดูน้ำป้อมปราการใหญ่ข้างหน้าที่เรียกกันว่า "ป้อมเพชร" ตั้งปืนใหญ่หลายกระบอกชี้มากลางลำน้ำเจ้าพระยา นายพัชราภรณ์สังเกตว่าประชาชนดูท่าทางหมองหม่นคล้ายกลับว่ามีเหตุอะไรขึ้น
เจ้าแห้ววิ่งกลับมาหลังจากออกไปเอาทองไปแลกเป็นอัฐฬสและซื้อมะพร้าวน้ำหอมที่ตลาดท้ายวัดมาให้คณะพรรคกิน
"รับประทาน เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ"
"เกิดอะไรขึ้นเรอะเจ้าแห้ว" อาเสี่ยถาม
"รับประทานพ่ออยู่หัว ... " เจ้าแห้วละล่ำละลักตอบ
"อ้าว มึงแอบไปกินหัวพ่อใครเขามาล่ะ" นายจอมทะเล้นเอ่ยแทรก
"รับประทาน ไม่ใช่ครับ ไอ้แห้วหมายถึงว่า พ่ออยู่หัวสมเด็จพระหาธรรมราชาทรงสวรรคตแล้วเมื่อวานนี้ขอรับ"
"ใครครับพระมหาธรรมราชา" นายแพทย์ดิเรกหันมาถามเจ้าคุณปัจจนึก ฯ
"ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาพระองค์ที่ 17 เดิมท่านทรงพระนามว่าขุนพิเรนทรเทพเป็นทหารเอกจากเมืองพิษณุโลกทรงมีเชื้อสายราชวงศ์สุโขทัย เป็นหนึ่งในผู้โค่นล้มขุนวรวงศาธิราชและแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์เพื่อถวายราชบัลลังก์แก่สมเด็จพระมหาจักพรรดิ์ ท่านได้รับความดีความชอบให้ขึ้นเป็นพระมหาธรรมราชาครองเมืองพระพิษณุโลก เมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่ 1 ท่านจำเป็นต้องเข้ากับพม่าเนื่องจากพระราชธิดาคือพระสุวรรณเทวีและพระราชบุตรคือสมเด็จพระนเรศวรกับพระอนุชาคือสมเด็จพระเอกาทศรถ ถูกนำไปเป็นตัวประกันที่พม่าหมด พระเจ้าบุเรงนองหรือผู้ชนะสิบทิศได้ตั้งท่านขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พศ.2112 พระนเรศวรได้ประทับอยู่ที่หงสาวดีถึง 6 ปี เมื่อพระชันษาได้ 15 ปี จึงได้เสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา เพื่อช่วยราชการพระบิดา โดยได้เสด็จขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก"
"รับประทาน นิทานเรื่องนี้สนุกเหลือเกินขอรับ" ท่านเจ้าคุณมองคนใช้จอมแก่นของท่านด้วยความหมั่นไส้
"เดี๋ยวก็ยันเปรี้ยงไปนู่น เรื่องจริงโว้ย เล่าตามประวัติศาสตร์เลย แล้วกัน"
นิกรพูดอย่างเป็นงานเป็นการ
"คุณพ่อเล่าต่อเถิดครับ เรื่องราวเป็นอย่างไรต่อ ประวัติศาสตร์ตอนนี้พวกเราไม่ใคร่รู้รายละเอียดมากนัก ไม่เหมือนคุณพ่อที่รู้เรื่องละเอียดลึกซึ้ง รู้โล่งเกลี้ยงไปหมด"
ท่านเจ้าคุณยิ้มเล็กน้อยแต่แล้วก็สะดุ้งโหยง
"หนอยแน่ะอ้ายการ หลอกกินฟรีกูอีกแล้ว"แล้วท่านก็จับบทเล่าต่อ
"ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2126 พระเจ้าอังวะเป็นกบฎ เนื่องจากไม่พอใจทางกรุงหงสาวดีอยู่หลายประการ จึงแข็งเมือง พร้อมกับเกลี้ยกล่อมเจ้าไทยใหญ่อีกหลายเมืองให้แข็งเมืองด้วย พระเจ้านันทบุเรงซึ่งเป็นพระโอรสของบุเรงนองที่ขึ้นครองราชหลังจากพระเจ้าบุเรงนองสิ้นพระชนม์ จึงยกทัพหลวงไปปราบ ได้สั่งให้เจ้าเมืองแปร เจ้าเมืองตองอู และเจ้าเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งทางกรุงศรีอยุธยาด้วยให้ยกทัพไปช่วยซึ่งตอนนั้นอยุธยายังเป็นเมืองขึ้นของพม่าอยู่ ทางไทยสมเด็จพระมหาธรรมราชาก็โปรดให้สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปแทน สมเด็จพระนเรศวรยกทัพออกจากเมืองพิษณุโลก เมื่อวันแรม 6 ค่ำ เดือน 3 ปีมะแม พ.ศ. 2126 เอ๊ะอ้ายหมอ ตอนนี้เราอยู่ปี พศ.อะไรนะ"
"พศ.2133 ครับคุณพ่อ" ดร.ดิเรกตอบ
"เอ้อ ก็ เจ็ดปีผ่านมาแล้วสินะ"
"พระนเรศวรทรงยกทัพไทยไปช้า ๆ เพื่อให้การปราบปรามเจ้าอังวะเสร็จสิ้นไปก่อน ทำให้พระเจ้านันทบุเรงแคลงใจว่า ทางไทยคงจะถูกพระเจ้าอังวะชักชวนให้เข้าด้วย จึงสั่งให้พระมหาอุปราชาคุมทัพรักษากรุงหงสาวดีไว้ ถ้าทัพไทยยกมาถึงก็ให้ต้อนรับและหาทางกำจัดเสีย และพระองค์ได้สั่งให้พระยามอญสองคน คือ พระยาเกียรติและพระยาราม ซึ่งมีสมัครพรรคพวกอยู่ที่เมืองแครงมาก และก็คงจะเป็นผู้คุ้นเคยกับสมเด็จพระนเรศวรมาแต่ก่อน ลงมาคอยต้อนรับทัพไทยที่เมืองแครง อันเป็นชายแดนติดต่อกับไทย พระมหาอุปราชาได้ตรัสสั่งเป็นความลับว่า เมื่อสมเด็จพระนเรศวรยกกองทัพขึ้นไป ถ้าพระมหาอุปราชายกเข้าตีด้านหน้าเมื่อใด ให้พระยาเกียรติและพระยาราม คุมกำลังเข้าตีกระหนาบทางด้านหลัง ช่วยกันกำจัดสมเด็จพระนเรศวรเสียให้ได้ พระยาเกียรติกับพระยาราม เมื่อไปถึงเมืองแครงแล้ว ได้ขยายความลับนี้แก่พระมหาเถรคันฉ่อง ผู้เป็นอาจารย์ของตน ทุกคนไม่มีใครเห็นดีด้วยกับแผนการของพระเจ้ากรุงหงสาวดี เพราะมหาเถรคันฉ่องกับสมเด็จพระนเรศวร เคยรู้จักชอบพอกันมาก่อน"
"กองทัพไทยยกมาถึงเมืองแครง เมื่อวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก พ.ศ. 2127 โดยใช้เวลาเดินทัพเกือบสองเดือน กองทัพไทยตั้งทัพอยู่นอกเมือง เจ้าเมืองแครงพร้อมทั้งพระยาเกียรติกับพระยารามได้มาเฝ้า ฯ สมเด็จพระนเรศวร จากนั้นสมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหาเถรคันฉ่อง ซึ่งคุ้นเคยกันดีมาก่อน พระมหาเถรคันฉ่องมีใจสงสาร จึงกราบทูลถึงเรื่องการคิดร้ายของทางกรุงหงสาวดี แล้วให้พระยาเกียรติกับพระยาราม กราบทูลให้ทราบตามความเป็นจริง เมื่อพระองค์ได้ทราบความโดยตลอดแล้ว ก็ทรงมีพระดำริเห็นว่า การเป็นอริราชศัตรูกับกรุงหงสาวดีนั้น ถึงกาลเวลาที่จะต้องเปิดเผยต่อไปแล้ว จึงได้มีรับสั่งให้เรียกประชุมแม่ทัพนายกอง กรมการเมือง เจ้าเมืองแครงรวมทั้งพระยาเกียรติพระยาราม และทหารมอญมาประชุมพร้อมกัน แล้วนิมนต์พระมหาเถรคันฉ่อง และพระสงฆ์มาเป็นสักขีพยาน ทรงแจ้งเรื่องให้คนทั้งปวงที่มาชุมนุม ณ ที่นั้นทราบว่า พระเจ้าหงสาวดีคิดประทุษร้ายต่อพระองค์ จากนั้นพระองค์ได้ทรงหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินด้วยพระน้ำเต้าทองคำ ประกาศแก่เทพยดาฟ้าดินว่า
ด้วยพระเจ้าหงสาวดี มิได้อยู่ในครองสุจริตมิตรภาพขัตติยราชประเพณี เสียสามัคคีรสธรรม ประพฤติพาลทุจริต คิดจะทำอันตรายแก่เรา ตั้งแต่นี้ไป กรุงศรีอยุธยาขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นมิตรร่วมสุวรรณปฐพีเดียวกันดุจดังแต่ก่อนสืบไป"
ท่านเจ้าคุณหยุดหายใจก่อนที่จะกล่าวต่อไปว่า
"นั่นแหละคือการประกาศอิสรภาพของอยุธยาไม่ขึ้นกับหงสาวดีต่อไป"
พลกล่าวว่า
"ถ้าอย่างนั้น จากนี้ไป สมเด็จพระนเรศวรก็จะขึ้นครองราชสิครับ"
ท่านเจ้าคุณพยักหน้า
"ถูกแล้วพล และอีกไม่กี่เดือนก็จะมีศึกใหญ่เกิดขึ้น"

คณะพรรคพายเรือออกจากวัดพนัญเชิง บ่ายหน้าออกไปทางทิศตะวันออกของกำแพงพระนครไปตามลำน้ำขุดใหม่ทางทิศตะวันออก เจ้าคุณปัจจนึก ฯ กล่าวว่า
"เดิมนั้นอยุธยาไม่เป็นเกาะ ทางด้านหัวรอลงมาจนถึงบริเวณวัดเกาะแก้วทางฝั่งตะวันออกของเกาะเมือง ไม่มีแม่น้ำไหลผ่านอย่างที่เห็น เมื่อครั้งรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ โปรดเกล้า ฯ ให้ขุดคลองหรือคูขื่อหน้าเชื่อมจากแม่น้ำลพบุรีซึ่งโอบล้อมอยุธยาอยู่ทางด้านเหนือเกาะ บริเวณหัวรอลงมาบรรจบแม่น้ำเจ้าพระยาที่ป้อมเพชรซึ่งอยู่ด้านใต้ของเกาะ เพื่อป้องกันข้าศึกมาประชิดเมือง คูขื่อหน้านี้มาขุดขยายอีกคราวหนึ่งในรัชกาลพระมหาธรรมราชา" *

เรือมาดแจวสามลำพายข้ามลำน้ำมุ่งตรงไปยังเกาะเมือง เสียงนิกรร้องลิเกแจ๋ว ๆ อยู่กลางลำน้ำได้ไม่ถึงบทก็โดนเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ทุบหลังดังอึ้กแล้วด่าว่าไม่รู้กาละเทศะ ชาวบ้านชาวเมืองกำลังทุกข์โศก ดันมาร้องลิเกได้ ทำเอานายจอมทะเล้นเงียบเสียงได้ฉับพลัน

*(คัดลอกจากหนังสือ "เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน - อยุธยา" หน้า 243 คอลัมน์ซ้าย บรรทัดที่ 6 - 16 โดยสำนักพิมพ์สารคดี กันยายน 2538 รหัสหนังสือ ISBN 974-8211-33-9 ราคา 320บาท)

- 5 -
คณะพรรคขึ้นบกที่เกาะเมืองเพื่อเข้าประตูฝั่งตรงข้ามปากคลองกระมัง พลมองมาที่ฝั่งตรงข้ามลำน้ำ
"คิดอะไรอยู่วะอ้ายพล" อาเสี่ยถาม
"กำลังคิดว่า สมัยปัจจุบันของเรา ที่ตรงข้างหน้าเรามันเป็นอะไร"
อาเสี่ยมองตามสายตาพล
"ตรงข้ามที่เรายืนอยู่นี่ก็เป็นสถานีรถไฟอยุธยาไงเล่าเจ้าพล ตรงขวามือนั้นที่เห็นเจดีย์ใหญ่ ๆ ก็วัดสามปลื้มไง" ท่านเจ้าคุณตอบแทนกิมหงวน

คณะพรรคเดินขึ้นเข้าประตูเมืองผ่านกำแพงใหญ่เข้าไปในเมืองกรุงศรีอยุธยายามนี้ดูโอ่อ่าอลังการเหลือเกิน เสียงม้าควบผ่านมาอย่างรวดเร็วพุ่งเข้ามาหาคณะพรรค ทำให้คนบนม้าตกใจรีบชะลอม้าก่อนที่จะชน
อาเสี่ยตกตะลึงทั้งโมโหถอดแว่นตาขอบกระออกแล้วยืนชี้หน้าชายที่อยู่บนหลังม้า
"เฮ้ย ขี่ม้ายังไงวะ ไม่เห็นคนเดินหรือไง ได้ใบขับขี่มายังไงเนี่ย" พูดจบก็หันมาถามนิกร
"เฮ้ย ยุคนี้เขามีใบขับขี่หรือยังวะ อารามโมโหเลยพูดไปเรื่อยเปื่อย"
นายจอมทะเล้นส่ายหน้าแล้วสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงตวาดอย่างทรงอำนาจของชายบนหลังม้า
"ชะ อ้ายไพร่ พวกมึงดอกเล่าที่เดินอย่างไรจึงไม่มองม้าของข้า นี่ถนนมิใช่ที่ยืนชมนกชมไม้ มายืนกลางถนนเยี่ยงนี้ ข้ามิขับม้าเข้าชนก็เป็นบุญเสียแล้วยังจะมาปากดีอีก บัดเดี๋ยวเถิด ข้าจะเอากระโหลกมะพร้าวยัดปาก"
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ เห็นท่าไม่ดีจึงเอ่ยกับชายผู้นั้นว่า
"โอ้ ท่านผู้ทรงอำนาจ หลานชายของกระผมผู้นี้สติไม่ค่อยจะดีนัก ชอบพูดจาเสียงดัง ได้โปรดอภัยมันด้วยเถิด"
ชายผู้นั้นหันมากล่าวกับเจ้าคุณ
"แล้วนี่พวกเจ้าเป็นผู้ใดกัน มาจากไหน ดูท่าทางผมเผ้ามิใช่คนแถวนี้นี่"
"พวกเรามาจาก ... เอ้อ ... บางกอกจ้ะ ตั้งใจจะมาหางานทำในกรุงศรี เพราะที่บ้านพวกเราน้ำท่วมบ่อยนักจ้ะ จะทำอะไรก็ขัดสนไปหมด"
"ดีแล้ว เจ้ามิใช่ทาสผู้ใดใช่ไหมเล่า" ชายผู้นั้นถาม
"อ๋อ เปล่าหรอกจ้ะ พวกเราไม่ได้เป็นทาสใครทั้งนั้นจ้ะ ฉันชื่อ ... เอ้อ ... อู๊ดจ้ะ"
เจ้าคุณปัจจนึกทำหน้าเรี่ยราดพิกลเมื่อเอ่ยชื่อจริงของตัวเอง ชายบนหลังม้าหัวเราะลั่น
"เจ้าเป็นชายใยชื่ออู๊ด น่าขันแท้ ชื่อดังสตรี หรือเจ้าเป็นขันทีรึ"
เจ้าคุณสะดุ้งโหยงรีบโบกมือห้าม
"มิได้มิได้จ้ะ ชื่อนี้พ่อแม่ตั้งมาให้ตั้งแต่เกิดจ้ะพวกนี้เป็นหลานของฉันจ้ะ ไอ้คนรูปหล่อนั่นชื่อเจ้าพล เก่งทางหมัดมวยชกต่อยต่อสู้ ไอ้เจ้าตัวเล็กหน้าทะเล้นนั่นชื่อกร เก่งทางรองรำทำเพลงลิเกลำตัดจ้ะ"
นิกรยิ้มให้กับชายบนหลังม้า
"ฉันดูหมอก็แม่นนะจ๊ะ"
ชายบนหลังม้าหุบยิ้มทันที
"อืม เจ้านี่ก็ทะลึ่งเอาเรื่องเหมือนกันนะ ผู้ใหญ่คุยกันแท้ ๆ ดันสอดขึ้นมาได้"
นิกรหัวเราะแหะ ๆ
"ส่วนอ้ายตัวสูงโย่งโก๊ะเป็นเปรตนั่นชื่อเจ้าหงวนลูกจีนเจ้านี่เก่งทางค้าขายจ้ะ แต่อยู่ทางโน้นไม่มีอะไรจะให้ค้า เพราะที่มีอยู่มันค้าไปหมดแล้วจ้ะ ส่วนไอ้เจ้าหน้าขาวใส่แว่นตาชื่อเหรกจ้ะ เก่งทางหมอยารักษาคนป่วยคนไข้ได้"
ดิเรกเดินเข้ามาหาแล้วกล่าวทักทายกับชายบนหลังม้า
"เฮลโล่ ฮาว ดู ยู ดู?"
ชายบนหลังม้าดูท่าทางพอใจ ดร.ดิเรกมาก
"นี่เจาพูดภาษาพวกฝรั่งแขนลายได้ด้วยหรือนี่"
ดิเรกพยักหน้า
"ออไรท์ กระผมเป็นพูดได้"
"ถ้าเช่นนักก็ดีนัก ท่าทางพวกเจ้าไม่ได้ขี้ริ้วอะไร คงจะเป็นผู้มีความสามารถดังที่เจ้าอู๊ดกล่าวไว้จริง ๆ งั้นก็ดีแล้ว ข้ากำลังต้องการคนอยู่พอดี"
เจ้าแห้วเดินเข้ามาเอานิ้วเขี่ยขาชายบนหลังม้าเบา ๆ แล้วยกมือไหว้
"รับประทาน แฮ่ะ ๆ กระผมชื่ออ้ายแห้วครับ เป็นขี้ข้าของพวกคุณ ๆ นี่อีกที"
โดยคุณ : สมนึก สมนาค 415 - [ 20 ก.ค. 2002 , 15:19:36 น. ]

ตอบ
เยี่ยมมากครับเอาอีกๆ...คุณสมนึกไปงานมิ้ตติ้งของ GX มาหรือเปล่าครับ (อันนี้นอกเรื่องครับ...)
โดยคุณ : ใหม่007 - [ 20 ก.ค. 2002 , 16:56:31 น.]

ตอบ
ม่ายด้ายปายค้าบ เขาลากไปเมืองกาญจน์เสียก่อน โดนพี่เต๊ะแช่งให้เป็นหมันไปแร้ววววว
โดยคุณ : สมนึก สมนาค 415 - [ 20 ก.ค. 2002 , 21:51:32 น.]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
ข้อความ




กรุณาคลิกที่ปุ่ม Post message เพียงครั้งเดียว 



All contents in this web site are intended for private use and educational purpose only. Our main objectives are to promote SamGler to cyberspace surfers and to memorize Por Intalapalit, one of the greatest writers in Thai fiction history.