ยินดีกับการกลับมาของเว็บสามเกลอ และ ...
Home Page
samgler connection members information discuss library misc. web board contact us

กระดานสนทนาสามเกลอ (Read Only)



ยินดีกับการกลับมาของเว็บสามเกลอ และ ...
ยินดีกับการกลับมาของเว็บสามเกลอ
และขอแสดงความเสียใจ กับการจากไปของ ศิลปินแห่งชาติ "ล้อต๊อก"
..............
เอาบทความเกี่ยวกับท่านมาให้กัน
จาก http://www.bangkokbiznews.com/2002/05/02/jud/index.php?news=jud1.html

โลกนี้มีไว้ขำ

ถึงวันนี้ชื่อของ 'ล้อต๊อก' จะเป็นเพียงนาม ที่ไร้ร่าง แต่ความสามารถของเขา ทั้งในฐานะนักแสดง และจำอวดรุ่นลายคราม ก็ยังคงได้รับการจารึก ในทำเนียบนาม ปูชนียบุคคล ของศิลปินตลก ที่ไม่มีใครทดแทนได้ ทีมข่าวจุดประกาย เรียบเรียงหลากหลายแง่มุม ของตลกอัจฉริยะท่านนี้ ทั้งจากปากคำของล้อต๊อกเอง และผู้ใกล้ชิด


ถึงแม้ดาวดวงเด่นในวงการตลกจะเกิดใหม่แทบทุกปี แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ถือได้ว่าเป็นดาวตลกค้างฟ้า และอาจกล่าวได้ว่าในจำนวนน้อยนิด มีเพียง 'ล้อต๊อก' เท่านั้นที่ผู้คนทั้งในและนอกวงการต่างซูฮกให้เป็นบรมครูตลกตลอดกาล

ล้อต๊อก หรือในชื่อเดิม สวง ทรัพย์สำรวย เป็นชาวธนบุรีโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2457 และโตที่ตำบลท่าพระ อำเภอบางกอกใหญ่ เป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนฝูงว่าเด็กชายสวงมักเป็นหัวโจกในกลุ่มเพื่อนฝูง ความสามารถพิเศษของเขา คือ การปีนต้นหมาก ทำให้สามารถหาลำไพ่พิเศษมาเป็นค่าขนมให้กับตนเองได้ตั้งแต่เด็ก

เส้นทางกว่าจะมาเป็นจำอวด-ศิลปินแห่งชาติของเขา ไม่ได้ขบขันอย่างที่เห็นบนเวที ละครแห่งชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการต่อสู้ ในหลายสมรภูมิ ทั้งกรรมกร นักมวย และทหาร กระทั่งมาเป็นที่รู้จักในชื่อ 'ล้อต๊อก' ที่เจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ในนิตยสารชีวิตต้องสู้ เมื่อปี พ.ศ.2522 ว่า อบ บุญติด ศิลปินรุ่นเก่าที่ล่วงลับไปแล้วเป็นคนตั้งชื่อให้

"กูก็ไม่รู้ว่า ล้อต๊อก แปลว่าอะไร แต่ตอนเล่นละครร้องเรื่อง ใกล้เกลือกินเกลือ เมื่อสามสี่สิบปีก่อน มีตัวละครชื่อเสี่ยล้อต๊อก เขาก็เลยเรียกกูว่าล้อต๊อก ต๊อกก็ต๊อก ก็เดี๋ยวนี้เดินไปไหนมาไหน เด็กหัวเท่ากำปั้นมันยังตะโกนให้ลั่น เฮ้ย...เฮ้ย ไอ้ล้อต๊อกมันมาแล้วโว้ยพวกเรา"

ล้อต๊อก เคยเล่าถึงชีวิตในวัยหนุ่มว่าไม่ได้เล่าเรียนอะไรมากนัก จบแค่ชั้นมัธยม แต่ด้วยความที่มีความสามารถในศิลปการแสดง นอกจากงานในสวนแล้ว เขามักจะมีหนีไปเล่นปีพาทย์บ้างเป็นครั้งคราว

"พออยู่ไปๆ ๆ มันเซ็ง ทำมาหากินไม่ไหวอับอายขายขี้หน้าคนปากคลองภาษีเจริญ เขาว่ากูเป็นคนไม่ทำมาหากินเอาแต่ปีนต้นมะพร้าว ต้มน้ำตาลเมา ก็เลยตัดสินใจออกมาสู้ชีวิต" ล้อต๊อกกล่าว

หลังจากก้าวออกจากบ้านสวน งานแรกที่เป็นชิ้นเป็นอันในชีวิตของล้อต๊อก กลับไม่ใช่การแสดง แต่เขาเล่าว่าเป็นอาชีพที่น่าภูมิใจสำหรับวัยหนุ่มในสมัยนั้น

"กูได้เรือจ้างมาลำหนึ่ง เอาไปจอดที่ท่าเรือตลาดพลู แล้วก็รับจ้างแจวเรือรับส่งคนในคลอง ถามใครๆ สมัยนั้นรู้จักกูทั้งนั้น เรื่องพายเรือนิ่มนวลขนาดนอนหลับได้สบายๆ กูนี่ละมือหนึ่ง"

ทำงานเป็น 'หนุ่มเรือจ้าง' ได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหันเหเรือชีวิตอีกครั้ง คราวนี้มารับจ้างยกข้าวของจากสถานีรถไฟตลาดพลู เพื่อมาส่งลูกค้าขึ้นรถสามล้อมาต่อรถเมล์ แต่ด้วยความใจดี อาชีพนี้ก็เลยไม่สามารถหาเลี้ยงชีวิตได้

"พอหิ้วไปส่งเขาถึงที่เขาหันมา บอกว่า ขอบคุณนะคะ ขอบคุณนะจ๊ะก็เท่านั้น กูก็เลยไม่กล้าแบมือขอสตางค์เขา ทำงานเหนื่อยเปล่า หิ้วปลาเค็ม หิ้วชะลอมน้ำตาล จนแขนล้า วันหนึ่งได้ไม่กี่สิบสตางค์... กูไปถีบสามล้อดีกว่า"

การตัดสินใจครั้งนี้เองที่ทำให้หนุ่มน้อยจากตลาดพลู ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่โคราช โดยมีสามล้อเป็นเครื่องมือทำมาหากิน และยึดสถานีรถไฟเป็นสถานที่ทำงานอีกครั้ง

แต่ดูเหมือนเส้นทางชีวิตของจำอวดอัจฉริยะจะถูกขีดไว้เรียบร้อยแล้ว ถีบสามล้อรับส่งผู้คนได้พักใหญ่ ก็ได้มารู้จักกับนักมวยชื่อดัง ถวัลย์ วงศ์เทเวศน์

"ไอ้เรื่องบู้ กูน่ะชอบเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว เขาเห็นว่ากูน่ะน่องปั่นสามล้อสวย ก็เลยชวนกูไปเป็นนักมวย กูน่ะเบื่อชีวิตซาเล้ง เป็นนักมวยเก่งๆ ดีกว่า กูเลยเปลี่ยนอาชีพมาเป็นนักมวย ตระเวนชกมันดะไปทั่วประเทศ แต่ไม่ได้ชกบนเวทีนะ งานไหนงานนั้นต่อยมันกลางลานวัด รับอัฐไม่กี่สตางค์ ก็เกือบจะได้ขึ้นเวทีราชดำเนินอยู่แล้วเชียวละ แต่มันบังเอิญถูกเขาน็อคซะก่อน"

เป็นอันว่าความฝันที่จะเป็นนักมวยอาชีพดับไปอีกอย่างหนึ่ง แต่ความสามารถทางด้านการแสดง ทั้งปี่พาทย์ แตรวง โขนสด ละครชาตรี อีกทั้งบุคลิกที่โดดเด่น ยังคงส่องสว่าง เขาได้รับการคัดเลือกให้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในปี พ.ศ.2476 ขณะนั้นอายุ 19 ปี เรื่อง 'วันจักรยาน' มี บำรุง แนวพาณิชย์ เป็นคนถ่ายภาพ

ภาพยนตรเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องแรกในชีวิตการแสดงของล้อต๊อก เขาได้รับบทเป็นคนรับใช้ ใช้เวลาถ่ายทำ 2 วัน ได้ค่าเหนื่อยจากการแสดงเป็นเงินถึง 5 บาท

แต่แล้วชีวิตก็ผกผันอีก เมื่อเกิดสงครามอินโดจีน ระหว่าง ปี พ.ศ.2478-2483 ด้วยเลือดรักชาติเขาได้เข้ารับราชการเป็นทหารอากาศ และได้ไปประจำแนวรบด้านอรัญประเทศ อยู่กับเรืออากาศตรีทวี จุลละทรัพย์ (ยศในขณะนั้น) เมื่อประเทศไทยเกิดกรณีพิพาทชายแดนกับอินโดจีนของฝรั่งเศส พลทหารสวงได้ทำหน้าที่เป็นพลปืนกลออกสู่สมรภูมิรบประจัญบานกลางอากาศกับฝูงบินฝรั่งเศส ยิงกันดุเดือดจนต้องเสียเพื่อนรักไปคนหนึ่ง คือ สังวาล เมืองใหญ่

เมื่อสงครามสงบเขาได้รับยศจ่าอากาศตรี ได้รับพระราชทานเหรียญชัยสมรภูมิเปลวระเบิด กับเหรียญพิทักษ์ชายแดน แม้ผู้บังคับบัญชาต้องการให้รับราชการต่อ แต่ด้วยความที่เป็นคนรักอิสระ เขาจึงเลือกกลับมาทำในสิ่งที่ตนเองรัก คือ การเป็นศิลปิน และค่อยๆ ก้าวสู่การเป็นตลกแถวหน้า

ความอัจฉริยะของล้อต๊อก ทำให้เขามีงานแสดงมากมายไม่แพ้พระเอก เคยแสดงภาพยนตร์มาแล้วไม่ต่ำกว่า 1,000 เรื่อง รวมทั้งเคยเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ไทยหลายเรื่อง อาทิ แสนรัก ทหารเกณฑ์ ฯลฯ เป็นผู้บุกเบิกจัดตลกโชว์ในรายการประตูดวงและขายหัวเราะทางช่อง 7 สีเป็นเวลา 11 ปี แต่ในที่สุดก็ต้องเลิกลาไป เพราะเป็นห่วงงานด้านเกษตรที่จังหวัดชลบุรี

รางวัลสูงสุดที่เขาได้รับในชีวิตการแสดง อาทิ รางวัลเกียรติคุณ รางวัลพระสุรัสวดี 'ตุ๊กตาทอง' จากภาพยนตร์เรื่อง 'โกฮับ' ดาราสนับสนุนจากเรื่อง 'หลวงตา' รางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ จากเรื่อง 'เงิน เงิน เงิน' และได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ ประจำปี 2538 สาขาศิลปการแสดง (นักแสดงตลก)

ในยุคที่ล้อต็อกกำลังโด่งดังนั้น นอกจากงานที่เข้ามาไม่ขาดสายแล้ว ผู้หญิงก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะเรียกว่าเป็นผลพวงจากคารมคมคายของตลกนายนี้ ชื่อเสียงความเป็นนักรักของล้อต๊อก ดังไม่แพ้ลูกเล่นลูกฮาเลยทีเดียว

ครั้งหนึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าตนเองมีเสน่ห์กว่าพระเอก หรือผู้ร้าย เพราะสาวแก่แม่หม้ายทั้งหลายมักจะเริ่มต้นที่ตัวตลกก่อน

"มันก็มีสมัยกูเริ่มเล่นละครอยู่กับ จอก ดอกจัน แฟนๆ มาติดที่เฉลิมกรุง เฉลิมไทย เฉลิมนคร วุ่นวายแทบจะไม่ต้องเล่นกัน แต่ตอนนั้นเอ็งเชื่อไหม กูไม่ประสีประสาอะไรทั้งนั้น เพื่อนฝูงก็ตราหน้ากูว่า ไม่เอาไหนเลย หมูเขายกมาให้กินแล้ว ยังไม่กิน ที่จริงกูก็อยากจะลองเหมือนกัน แต่มันไม่กล้า ได้แต่มองๆ กลืนน้ำลาย"

เขาเล่าถึงประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องผู้หญิง เมื่อครั้งที่เพื่อนๆ พาไปเที่ยวแถวสะพานถ่าน (แหล่งโสเภณีชื่อดังสมัยห้าสิบหกสิบปีก่อน) ว่า

"จอก ดอกจัน เขาว่าจะไปเที่ยวกะหรี่กัน กูบอกว่าไม่ไป เขาว่าต้องไป ไม่เที่ยวก็ไม่เป็นไรให้ไปยืนหน้าบ้านเฉยๆ กูก็เลยตกลง ไปยืนดูเฉยๆ ก็คงจะไม่เป็นไร พอถึงบ้านไหนก็ไปยืนออกันหน้าบ้านเต็มไปหมด ตอนนั้นกูกำลังเผลอๆ มองหน้ากะหรี่นั่งอยู่ในห้องเต็มไปหมด ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่ใครไม่รู้ถีบกูโครมใหญ่เข้าให้ กูก็เลยเซเข้าไปในซ่อง พอเข้าไปที่ผู้หญิงนั่งอยู่เท่านั้น ก็ใครอีกเหมือนกันไม่รู้ตะโกนว่า "เจ๊..เจ๊ ตกลงเพื่อนผมเขาเลือกผู้หญิงคนนั้นแล้ว" อีนางผู้หญิงมันก็เลยล็อกกูเข้าให้ ลากเข้าไปในห้องกูก็เลยร้องโวยวาย เอ็งรู้ไหมร้องว่าอะไร กูร้องว่า

...โว้ย โว้ย สนุกจริงโว้ย พ่อแม่พี่น้องเอ๊ย สนุกจริงโว้ย"

คนอื่นพูดถึงล้อต๊อก

เรื่องเจ้าชู้ประตูดินและความใจดีต่อสตรีเพศ ล้อต๊อกกินขาด ถึงขนาดอดีตพระเอกมาดแมนสมัยนั้นอย่างกรุง ศรีวิไล ยังต้องหลีกทางให้ แต่ใครจะเชื่อล่ะ?

อู๊ดสาวมีเบอร์ประจำโรงอาบอบนวดชวาลา ถนนศรีอยุธยา เป็นอีกนางหนึ่งที่ให้คำตอบเรื่องนี้ได้ (จากหนังสือเจ้าล้อต๊อก เขียนโดย จี๊ต ท่าพระจันทร์)

"อู๊ดชอบล้อต๊อกมากค่ะ อาทิตย์ไหนไม่ได้ดูหนังดูทีวี ถ้าไม่มีรายการตลกของล้อต๊อกแล้วล่ะก็มันรู้สึกเซ็งๆ ยังไงพิกล เขากลายเป็นตัวชูรสที่เกือบจะขาดไม่ได้ทีเดียวค่ะ อู๊ดดูแกมาตั้งแต่เด็กๆ พอเห็นหน้ายังไม่ทันพูดอะไรก็ขำแล้ว แกตลกกีไม่รู้ไปหามุขตลกที่ไหนมาแแสดงได้เรื่อย เรียกว่าแกมีพรสวรรค์ทางด้านนี้จริงๆ ถึงบางครั้งจะหยาบไปบ้างก็ยังน่ารัก"

แถมสาวตู้กระจกคนเดียวกันนี้ยังหยิกแกมหยอกถึงดาวตลกรุ่นลายครามต่อทำนองว่า คอยอยู่ว่าเมื่อไหร่ศิลปินคนโปรดจะมาเที่ยวลงอ่างสักที

"ถ้ามานวดกับอู๊ดล่ะก็ จะขยำให้อร่อยเชียว ดูซิว่าจะแน่แค่ไหน อยากรู้นักว่าแกจะมีพลังม้าหรือพลังนกกระจอก"

ถึงแม้จะเจ้าชู้ขนาดไหน ล้อต๊อกก็มีสาวคนพิเศษที่เขาประกาศอย่างเต็มปากว่าเป็นศรีภรรยา คู่ทุกข์คู่ยากคนแรกของล้อต๊อก พบรักกันตั้งแต่สมัยเป็นนางเอกละคร และฝ่ายชายเป็นแค่ดาราตลก

นิยายรักฉบับนี้เข้าข่ายดอกฟ้ากับหมาวัด โดยมีคู่แข่งอย่างคุณหลวง คุณเสี่ย คุณพระเอก ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาช่วยสร้างอุปสรรคให้พอประมาณ แต่เรื่องอีหรอบสุดท้ายเรื่องก็คลี่คลายเพราะถือคติตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก ประกอบกับได้สวมบทบาทที่ปรึกษาปัญหาหัวใจ

...สุดท้ายนางเอกก็ไปไหนไม่รอด

แต่ใช่ว่าความเจ้าชู้จะยุติ เรื่องผู้หญิงฉายแววตั้งแต่ฤดูข้าวใหม่ปลามัน เล่นเอาสมจิตรถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ ชนิดที่ว่าแม่สมจิตรไปทลายรัง...ป๋าต๊อกก็ทิ้งรังใหม่ หรือไม่ก็แม่สมจิตรลงตาม...ป๋าต๊อกขึ้นรถคันใหม่

ถึงขนาดป๋าต๊อกก็ต้องใช้ทีเด็ด...เดิน เดิน เดิน และเดิน จนแม่สมจิตรหมดแรงกวักมือเรียกป๋าต๊อก พร้อมกับพูดว่า

"คุณ คุณ พาฉันไปส่งบ้านแล้วจะไปไหนก็ไป ฉันยอมแพ้เธอแล้ว"

แต่ก็ครองรักกระท่อนกระแท่นกันไปได้ จนแม่สมจิตรเป็นฝ่ายลาจากไปก่อน และมีภรรยาคนใหม่และเป็นคนสุดท้ายชื่อ ชุลีพร ทรัพย์สำรวย

นอกจากผู้หญิงแล้ว สำหรับชีวิตของลูกผู้ชายคนหนึ่ง เรื่องมิตรภาพก็ไม่ได้สลักสำคัญน้อยไปกว่ากันเลย

สมพงษ์ พงษ์มิตร สหายสนิทผู้ล่วงลับ เคยพูดถึงเพื่อนคนนี้ไว้ว่า

"เราร่วมตั้งวงละครย่อยด้วยกัน สาบานกันไว้ว่าจะไม่โกรธไม่โกงกัน แล้วเราก็ถือคำมันสัญญามาตลอด"...กระทั่งอีกฝ่ายชิงลาไปก่อน

นอกเหนือจากงานวงละครย่อยที่ปรมาจารย์ขำขันคนนี้เคยผ่านมา คณะตลกก็เป็นบันเทิงอีกแขนงหนึ่งที่บุกเบิกมากับมือ และครั้งหนึ่งคณะ 'ต๊อกบูม' ก็เป็นหนึ่งในทำเนียบนั้น

ล้อต๊อกในฐานะหัวหน้าคณะทำการรวบรวมสมาชิกตลกรุ่นลายคราม อาทิ ขวัญ สุวรรณะ ฉายา 'หัวนกตะกรุม', ทองแถม เขียวแสงใส, เฉลิม พุกกะนะสุต หรือ 'ก๊กเฮง' และผู้หญิงคนเดียว พรทิพย์ อุทัยวรรณ หรือ พรทิพย์ ผิวแตงร่มใบ

"เวลาเล่นไม่เข้าขา ไม่ถูกใจคุณล้อต๊อกดุเอาบ่อยๆ จนเกือบจะเลิกเล่นหลายครั้งแล้วค่ะ เขาเป็นคนโมโหร้าย แต่ใจดี" พรทิพย์บอก

ความที่กวาดงานมาอยู่ในมือเสียจนล้น สุขภาพจึงไม่ค่อยสู้ดีและน้อยคนนักที่จะรู้ว่าล้อต๊อกเป็นโรคติดเชื้อมาตั้งแต่หนุ่มๆ แต่โรคนี้กลับมาออกฤทธิ์เอาตอนแก่ ถึงขนาดภรรยาคนแรกอย่างสมจิตรเปรยออกมาว่า "คลานกลับบ้านมาเขียวล่ะค่ะ"

คนที่รู้เห็นในกรณีนี้เป็นอย่างดีมีหลานรัก กรุง ศรีวิไล คนเดียวเท่านั้นที่จะเปิดเผยได้ (ให้สัมภาษณ์ปี พ.ศ.2522)

"ป๋าแกไปช่วยงานซุปเปอร์ลูกทุ่งที่อุทัยธานี ตอนแรกๆ เราก็ไม่รู้ว่าแกไม่สบาย แล้วป๋าแกเดินมาหาผมแล้วบอกว่า ไอ้เอ๊ดโว๊ย กูหนาวจริงๆ มึงมียาแก้ไขบ้างไหม พอดีลูกวงเขามียาซาลิดอนอยู่เม็ดหนึ่ง ผมก็ให้ป๋าแกไป แกกินแล้วก็ไม่พูดว่าอะไร"

กว่าหลานรักจะรู้ก็เมื่อป๋าต๊อก ออกไปแสดงหน้าเวที ท่ามกลางแฟนๆ จำนวนเป็นพัน ที่รอคอยเสียงหัวเราะจากดาวโจ๊กคนโปรด

"ป๋าต๊อก แกเดินห่มผ้าคลุมโปงออกมาหน้าเวที คนเห็นเท่านั้นก็เฮละโล ชอบอกชอบใจ ผมก็นึกว่าป๋าแกเล่นมุขตลกแบบใหม่ๆ ก็เลยยืนหัวร่อกับแก แต่เล่นไปไม่ถึง 5 นาที ป๋าแกก็เดินเข้ามาหาผมแล้วบอกว่า ไอ้เอ๊ด กูไม่ไหวจริงๆ ขอกูเลิกตอนนี้ล่ะ กูจะกลับ กทม."

จนแล้วจนรอด เจ้าไข้ติดเชื้อก็มาเฉลยเอาทีหลังจากปากเจ้าตัวเองที่เล่าผ่านหลานรักคนเดิมว่า

"ป๋าแกเคยบอกว่า ไอ้เอ๊ดมึงรู้ไหม กูเป็นโรคติดเชื้อมาตั้งแต่หนุ่มๆ รักษาไม่หายขาด เพราะตอนนั้นสมัยสงครามหยูกยามันหายาก ฉะนั้นเวลากูล้มป่วยเป็นอะไรไป มึงต้องบอกหมอให้เขารู้นะ เขาจะได้รักษาถูกโรค ก็แกเป็นโรคไข้จับสั่นมาลาเรีย เจ้าไข้ป่านี้รักษาหายขาดเสียเมื่อไหร่ โดนอะไรนิดเป็นหนาวสั่นเหมือนอบย่างที่แกเอาผ้าห่มคลุมโปงนั่นออกไปหน้าเวทีนั่นแหละ"

จากนั้นปรมาจารย์ตลกคนนี้ก็กระเสาะกระแสะเรื่อยมาเพราะทุ่มเทให้กับการดื่มกาแฟและสูบบุหรี่อย่างหนัก

โดยไม่รู้ล่วงหน้าเลยว่า อีก 23 ปีต่อมาจะต้องมาพ่ายให้กับโรคถุงลมโป่งพอง

********************************

ลำดับอาการป่วยของล้อต๊อก

มีนาคม 2542 : ป่วยหนักจนเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล สาเหตุเนื่องจากสูบบุหรี่หนักและดื่มกาแฟมาก ต่อมาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอีกครั้ง โดยอยู่ห้อง ไอ.ซี.ยู.โรงพยาบาลโสธราเวช จ.ฉะเชิงเทรา สาเหตุเดิมจากการสูบบุหรี่อย่างหนัก ในที่สุดแพทย์อนุญาตให้กลับไปพักผ่อนที่บ้านตามความต้องการของคนไข้ทั้งที่ยังห่วงเรื่องปอด

12 มีนาคม 2543 : เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลโสธราเวช จ.ฉะเชิงเทรา ด้วยอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เพราะยังสูบบุหรี่อยู่เป็นประจำ โดยมีอาการหลงลืมด้วย แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2543 จากนั้นถูกนำตัวส่ง รพ.โสธราเวช อีกครั้ง เนื่องจากมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก มีเสมหะมาก แพทย์ต้องให้ออกซิเจน สาเหตุมาจากยังคงสูบบุหรี่ ทำให้มีอาการถุงลมโป่งพอง จนอาการทุเลาได้ออกจากโรงพยาบาล

23 เมษายน 2545 : เข้ารักษาตัวอีกครั้งที่โรงพยาบาลเมืองฉะเชิงเทรา ด้วยอาการถุงลมโป่งพองกำเริบ เนื่องจากยังสูบบุหรี่อยู่ หลังเจาะเลือด-เอกซเรย์ ได้ย้ายไปรักษาตัวต่อที่ รพ.โสธราเวช และออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 25 เมษายน ก่อนจะมีอาการทรุดหนักลงต้องกลับเข้ามารักษาตัวอีกครั้งในวันที่ 26 เมษายน

จนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อตอนเช้าวันที่ 30 เมษายน 2545
......................
โดยคุณ : born - [ 2 พ.ค. 2002 , 2:46:16 น. ]

ตอบ
มายินดีกับการกลับมาเว็บด้วยครับและก็ขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของศิลปินแห่งชาติด้วยครับ
โดยคุณ : ไก่ - [ 2 พ.ค. 2002 , 3:08:09 น.]

ตอบ
เหมือนข้างบนล่ะฮับ แต่ยังงงๆ ตั้งตัวไม่ถูกฮับ ทั้ง 2 เรื่องเลยอ่ะ
โดยคุณ : samgler-aholic - [ 2 พ.ค. 2002 , 3:29:20 น.]

ตอบ
คะ เหมือนคุณไก่กุ๊กๆ
โดยคุณ : คุณท้าวจอมแก่น - [ 2 พ.ค. 2002 , 6:15:09 น.]

ตอบ
นึกว่าโดนทางโฮสติ้งไล่ออกจากกองมรดกเสียแล้ว อิอิ คุณบี

ป๋าต๊อกคงคิดถึงอาพูล กับน้าเทิ่งมั้งครับ เฮ้อ ตามกันไปติดๆ นึกถึงสมัยรายการนาทีทอง กับรายการขายหัวเราะคืนวันอาทิตย์จัง น่าจะมีเทปมาฉายให้ชมอีกนะ (รายการจัดสดแบบนี้จะมีเทปที่ไหนละ อิอิ)
โดยคุณ : ble3d - ICQ : 21526438 - [ 2 พ.ค. 2002 , 8:54:30 น.]

ตอบ
คิดถึงป๋าต๊อกนะครับ! ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ
โดยคุณ : ใหม่007 - [ 2 พ.ค. 2002 , 9:24:06 น.]

ตอบ
อือ ทั้งดีใจ และเสียใจในเลาเดียวกันเลยแหะ
โดยคุณ : เกลียมัว - [ 2 พ.ค. 2002 , 18:49:24 น.]

ตอบ
เหมือนกันค่ะ
โดยคุณ : ละม่อม - [ 3 พ.ค. 2002 , 0:57:05 น.]

ตอบ
ขอร่วมไว้อาลัยด้วยครับ
โดยคุณ : pui - [ 3 พ.ค. 2002 , 23:48:45 น.]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
ข้อความ




กรุณาคลิกที่ปุ่ม Post message เพียงครั้งเดียว 



All contents in this web site are intended for private use and educational purpose only. Our main objectives are to promote SamGler to cyberspace surfers and to memorize Por Intalapalit, one of the greatest writers in Thai fiction history.